กากินน้ำทะเล
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระอุปนันทเถระผู้ไม่รู้จักพอแล้วเที่ยวสอนภิกษุอื่นให้รู้จักพอ จึงตรัสพระคาถาว่า” บุคคลควรตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน แล้วพึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลังบัณฑิตจะไม่พึงเศร้าหมอง ”แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดารักษาสมุทร สมัยนั้นมีกาน้ำตัวหนึ่งบินเที่ยวหากินอยู่ในมหาสมุทรนั้นมักร้องห้ามฝูงนก ฝูงปลาว่า” ท่านทั้งหลาย จงดื่มกินน้ำทะเลเพียงเล็กน้อยนะ ช่วยกันประหยัดน้ำทะเลด้วย ”
เทวดาเห็นพฤติกรรมของมันแล้วจึงถามไปว่า” ใครนะ ช่างบินวนเวียนอยู่แถวนี้ เที่ยวร้องห้ามฝูงนกฝูงปลาอยู่ ท่านจะไปเดือดร้อนอะไรกับน้ำทะเลด้วยละ ”
มันจึงตอบว่า ” ข้าพเจ้าคือกาผู้ไม่รู้จักอิ่ม ปรารถนาจะดื่มน้ำทะเลผู้เดียว กลัวว่าน้ำทะเลจะหมดก่อน จึงต้องร้องห้ามอย่างนั้น ”
เทวดาได้ฟังเช่นนั้นจึงกล่าวเป็นคาถาว่า” ทะเลใหญ่นี้จะลดลงหรือเต็มอยู่ก็ตามทีที่สุดของน้ำแห่งทะเลใหญ่นั้นที่บุคคลดื่มแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ไม่ได้ทราบว่า สาครอันใคร ๆ ไม่อาจดื่มให้หมดสิ้นไปได้ ”
ว่าแล้วก็แปลงร่างเป็นรูปที่น่ากลัวขับไล่กาน้ำนั้นให้หนีไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไปพะวงอะไรกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่านไปเปล่า ๆ
ที่มา www. whitemedia.org
วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ลิงเจ้าปัญญา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาลิงมีรูปร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกำลังเท่าช้าง อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่ง จระเข้ตัวเมียเห็นร่างกายของพญาลิงแล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิงตัวนั้น“พี่ช่วยนำมันมาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ”สามีพูดว่า “น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ”เมียพูดด้วยความน้อยในว่า “พี่ต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นนั้นน้องขอตายดีกว่า”สามีจึงพูดปลอบใจว่า “น้องจ๋า อย่างเพิ่งตายเลยจ๊ะ พี่จะไปจับมันมาเดี๋ยวนี้ละจ๊ะ”
ว่าแล้วก็ไปหาพญาลิงที่กำลังลงมาดื่มน้ำที่ฝั่งพอดี ร้องถามขึ้นว่า “ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยที่ฝั่งนี้ไม่เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝั่งโน้นบ้างหรือ”ลิงตอบว่า “ท่านจระเข้ แม่น้ำนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราจะข้ามไปได้อย่างไร”จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า “ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เราอาสาจะไปส่ง”ลิงเชื่อคำพูดของมันจึงได้กระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ไป
จระเข้พอพาลิงไปถึงกลางแม่น้ำก็มุดลงดำน้ำ ลิงร้องถามว่า “ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้ำตายรึไง”จระเข้ตอบว่า “เรามิได้คิดอาสาจะพาท่านไปฝั่งโน้นจริง ๆ หรอก เมียเราแพ้ท้องอยากกินหัวใจท่าน เราจะพาท่านไปให้เมียเรากินต่างหาก”ลิงพูดขึ้นด้วยเล่ห์ว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเมื่อกระโดดไปมาบนต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา”จระเข้หลงกลถามไปว่า “แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนละ”ลิงจึงชี้ไปที่ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ไม่ไกลนักมีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกับพูดว่า “นั่นไง หัวใจของเราแขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง”จระเข้พูดว่า “หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน”ลิงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านพาเราไปที่นั้นสิ เราจะให้หัวใจแก่ท่าน”
จระเข้จึงพาลิงไปส่งที่ต้นมะเดื่อนั้น ลิงกระโดดขึ้นต้นมะเดื่อไปแล้ว พร้อมกับพูดว่า“เจ้าจระเข้หน้าโง่ หัวใจสัตว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสียเปล่า หามีปัญญาไม่” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า“เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนที่ท่านเห็นฝั่งสมุทรโน้น ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่าร่างกายของท่านใหญ่โตเสียเปล่าแต่ปัญญาไม่สมกับ ร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด”
จระเข้พอทราบว่าหลงกลลิงแล้วก็เป็นทุกข์เสียใจซึมเซาเหมือนกับเสียพนัน มุดกลับยังถิ่นที่อยู่ของตนตามเดิมนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด รู้จักใช้ปัญญาเอาชีวิตรอดมาได้เป็นยอดดี
ที่มา www.whitemedia.org
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาลิงมีรูปร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกำลังเท่าช้าง อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่ง จระเข้ตัวเมียเห็นร่างกายของพญาลิงแล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิงตัวนั้น“พี่ช่วยนำมันมาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ”สามีพูดว่า “น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ”เมียพูดด้วยความน้อยในว่า “พี่ต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นนั้นน้องขอตายดีกว่า”สามีจึงพูดปลอบใจว่า “น้องจ๋า อย่างเพิ่งตายเลยจ๊ะ พี่จะไปจับมันมาเดี๋ยวนี้ละจ๊ะ”
ว่าแล้วก็ไปหาพญาลิงที่กำลังลงมาดื่มน้ำที่ฝั่งพอดี ร้องถามขึ้นว่า “ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยที่ฝั่งนี้ไม่เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝั่งโน้นบ้างหรือ”ลิงตอบว่า “ท่านจระเข้ แม่น้ำนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราจะข้ามไปได้อย่างไร”จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า “ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เราอาสาจะไปส่ง”ลิงเชื่อคำพูดของมันจึงได้กระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ไป
จระเข้พอพาลิงไปถึงกลางแม่น้ำก็มุดลงดำน้ำ ลิงร้องถามว่า “ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้ำตายรึไง”จระเข้ตอบว่า “เรามิได้คิดอาสาจะพาท่านไปฝั่งโน้นจริง ๆ หรอก เมียเราแพ้ท้องอยากกินหัวใจท่าน เราจะพาท่านไปให้เมียเรากินต่างหาก”ลิงพูดขึ้นด้วยเล่ห์ว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเมื่อกระโดดไปมาบนต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา”จระเข้หลงกลถามไปว่า “แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนละ”ลิงจึงชี้ไปที่ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ไม่ไกลนักมีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกับพูดว่า “นั่นไง หัวใจของเราแขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง”จระเข้พูดว่า “หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน”ลิงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านพาเราไปที่นั้นสิ เราจะให้หัวใจแก่ท่าน”
จระเข้จึงพาลิงไปส่งที่ต้นมะเดื่อนั้น ลิงกระโดดขึ้นต้นมะเดื่อไปแล้ว พร้อมกับพูดว่า“เจ้าจระเข้หน้าโง่ หัวใจสัตว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสียเปล่า หามีปัญญาไม่” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า“เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนที่ท่านเห็นฝั่งสมุทรโน้น ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่าร่างกายของท่านใหญ่โตเสียเปล่าแต่ปัญญาไม่สมกับ ร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด”
จระเข้พอทราบว่าหลงกลลิงแล้วก็เป็นทุกข์เสียใจซึมเซาเหมือนกับเสียพนัน มุดกลับยังถิ่นที่อยู่ของตนตามเดิมนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด รู้จักใช้ปัญญาเอาชีวิตรอดมาได้เป็นยอดดี
ที่มา www.whitemedia.org
นกหัวขวานกับราชสีห์
นกหัวขวานกับราชสีห์
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ทรงปรารภความอกตัญญูของพระเทวทัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีราชสีห์ตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ในบริเวณเดียวกัน วันหนึ่ง ราชสีห์กินเนื้อด้วยความมูมมามจึงทำให้กระดูกติดคอจนคอบวม มันไม่สามารถจับเหยื่อหากินได้นอนปวดร้าวทรมานอยู่ หลายวันต่อมานกหัวขวานบินเที่ยวหากินไปพบมันเข้าจึงจับกิ่งไม้ร้องถามไปว่า” ท่านราชสีห์ ท่านนอนร้องครวญครางอยู่ เป็นอะไรหรือ ? ”” กระดูกติดคอเรานะสิ เรานอนเจ็บปวดทรมานมาหลายวันแล้ว ช่วยเราด้วย ” มันร้องตอบ
นกหัวขวานพูดว่า ” เราอยากจะช่วยท่านอยู่ แต่ไม่กล้าจะเข้าไปในปากท่าน กลัวท่านจะกินเรา” ราชสีห์อ้อนวอนว่า ” ท่านอย่ากลัวไปเลย เราไม่กินท่านดอก ช่วยเราด้วยนะ”
นกหัวขวานใจอ่อนด้วยความกรุณาสงสารราชสีห์จึงรับคำช่วยเหลือ ให้ราชสีห์นอนตะแคงแล้วใช้ท่อนไม้ค้ำปากของมันให้อ้าปากไว้ เพื่อไม่ให้มันหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปากราชสีห์ ใช้ปากจิกกระดูกให้เคลื่อนเข้าไปในท้องของมันแล้วจิกท่อนไม้ให้ล้มลง บินขึ้นไปจับบนกิ่งไม้ตามเดิม ทำให้ราชสีห์หมดทุกข์เที่ยวจับเหยื่อ กินได้เป็นปกติ
อีกหลายวันต่อมา นกหัวขวานบินหากินไปพบราชสีห์กำลังนอนแทะเนื้ออยู่ คิดจะทดสอบจิตใจของราชสีห์ จึงจับบนกิ่งไม้เหนือราชสีห์นั้นแล้วพูดว่า ” ท่านจอมแห่งไพร ขอแสดงความเคารพ เราเคยได้ช่วยเหลือท่านอย่างหนึ่ง แล้วท่านจะมีอะไรตอบแทนกันบ้างหนอ”
ราชสีห์ตอบว่า ” เจ้านกหัวขวานเอ๋ย ในวันนั้น ขณะที่เจ้าอยู่ในปากของเรา เจ้าเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้วละ เจ้าจะเอาอะไรอีก ”
นกหัวขวานได้ฟังเช่นนั้นแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า” ผู้ไม่รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้ว ผู้ที่ไม่เคยทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ใครผู้ที่ไม่ตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำให้แล้วน่าตำหนิ ความกตัญญูไม่มีในผู้ใด การคบหาผู้นั้น ก็ไร้ประโยชน์ .แม้อุปการคุณที่กระทำต่อหน้า มิตรธรรมยังหาไม่ได้ในบุคคลใดบัณฑิตไม่ริษยา ไม่ด่าบุคคลนั้น พึงค่อย ๆ หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย ”
กล่าวจบก็บินหนีเข้าป่าไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผลผู้ไม่รู้บุญคุณที่เขาทำไว้แล้ว ไม่ควรคบสมาคมด้วย
ที่มา www.whitemedia.org
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ทรงปรารภความอกตัญญูของพระเทวทัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีราชสีห์ตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ในบริเวณเดียวกัน วันหนึ่ง ราชสีห์กินเนื้อด้วยความมูมมามจึงทำให้กระดูกติดคอจนคอบวม มันไม่สามารถจับเหยื่อหากินได้นอนปวดร้าวทรมานอยู่ หลายวันต่อมานกหัวขวานบินเที่ยวหากินไปพบมันเข้าจึงจับกิ่งไม้ร้องถามไปว่า” ท่านราชสีห์ ท่านนอนร้องครวญครางอยู่ เป็นอะไรหรือ ? ”” กระดูกติดคอเรานะสิ เรานอนเจ็บปวดทรมานมาหลายวันแล้ว ช่วยเราด้วย ” มันร้องตอบ
นกหัวขวานพูดว่า ” เราอยากจะช่วยท่านอยู่ แต่ไม่กล้าจะเข้าไปในปากท่าน กลัวท่านจะกินเรา” ราชสีห์อ้อนวอนว่า ” ท่านอย่ากลัวไปเลย เราไม่กินท่านดอก ช่วยเราด้วยนะ”
นกหัวขวานใจอ่อนด้วยความกรุณาสงสารราชสีห์จึงรับคำช่วยเหลือ ให้ราชสีห์นอนตะแคงแล้วใช้ท่อนไม้ค้ำปากของมันให้อ้าปากไว้ เพื่อไม่ให้มันหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปากราชสีห์ ใช้ปากจิกกระดูกให้เคลื่อนเข้าไปในท้องของมันแล้วจิกท่อนไม้ให้ล้มลง บินขึ้นไปจับบนกิ่งไม้ตามเดิม ทำให้ราชสีห์หมดทุกข์เที่ยวจับเหยื่อ กินได้เป็นปกติ
อีกหลายวันต่อมา นกหัวขวานบินหากินไปพบราชสีห์กำลังนอนแทะเนื้ออยู่ คิดจะทดสอบจิตใจของราชสีห์ จึงจับบนกิ่งไม้เหนือราชสีห์นั้นแล้วพูดว่า ” ท่านจอมแห่งไพร ขอแสดงความเคารพ เราเคยได้ช่วยเหลือท่านอย่างหนึ่ง แล้วท่านจะมีอะไรตอบแทนกันบ้างหนอ”
ราชสีห์ตอบว่า ” เจ้านกหัวขวานเอ๋ย ในวันนั้น ขณะที่เจ้าอยู่ในปากของเรา เจ้าเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้วละ เจ้าจะเอาอะไรอีก ”
นกหัวขวานได้ฟังเช่นนั้นแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า” ผู้ไม่รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้ว ผู้ที่ไม่เคยทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ใครผู้ที่ไม่ตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำให้แล้วน่าตำหนิ ความกตัญญูไม่มีในผู้ใด การคบหาผู้นั้น ก็ไร้ประโยชน์ .แม้อุปการคุณที่กระทำต่อหน้า มิตรธรรมยังหาไม่ได้ในบุคคลใดบัณฑิตไม่ริษยา ไม่ด่าบุคคลนั้น พึงค่อย ๆ หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย ”
กล่าวจบก็บินหนีเข้าป่าไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผลผู้ไม่รู้บุญคุณที่เขาทำไว้แล้ว ไม่ควรคบสมาคมด้วย
ที่มา www.whitemedia.org
คนชั่วสรรเสริญกันเอง
คนชั่วสรรเสริญกันเอง
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะต่างสรรเสริญกันเอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า ” ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง ”
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า ” กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด”
รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า” บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุดบรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุดและบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุดที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว ”นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเลวยกย่องกันเอง ชื่อเสียงมักไม่ปรากฏคนดียกย่องคนดีเหมือนกัน ชื่อเสียงย่อมปรากฏ
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะต่างสรรเสริญกันเอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า ” ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง ”
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า ” กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด”
รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า” บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุดบรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุดและบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุดที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว ”นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเลวยกย่องกันเอง ชื่อเสียงมักไม่ปรากฏคนดียกย่องคนดีเหมือนกัน ชื่อเสียงย่อมปรากฏ
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
บุญที่ให้ทานแก่ปลา
บุญที่ให้ทานแก่ปลา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้า ขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่ง แม่น้ำคงคา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพ สัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงิน นั้น
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้น ว่า” พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ ”” เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ ” พี่ชายตอบ
เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัว หนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความ กระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียว ที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร
หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า” ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ ”ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า ” ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ ” จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้า ร้านนั้น
พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า” ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ ”” ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ ” ชาวประมงตอบ
เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า” แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ ”
ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า” เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น ”
แล้วได้กล่าวคาถาว่า” ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา ”
กล่าวคาถาจบก็หายร่างไปนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้า ขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่ง แม่น้ำคงคา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพ สัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงิน นั้น
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้น ว่า” พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ ”” เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ ” พี่ชายตอบ
เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัว หนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความ กระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียว ที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร
หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า” ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ ”ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า ” ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ ” จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้า ร้านนั้น
พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า” ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ ”” ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ ” ชาวประมงตอบ
เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า” แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ ”
ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า” เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น ”
แล้วได้กล่าวคาถาว่า” ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา ”
กล่าวคาถาจบก็หายร่างไปนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
จุลลกเศรษฐี
ครั้งหนึ่งในอดีตกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อจุลลกะเป็นผู้มีความสามารถ พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำโดยอาศัยเหตุจากนิมิตต่างๆวันหนึ่งจุลลกเศรษฐีนั่งรถม้าผ่านมาเห็นหนู ตายตัวหนึ่งอยู่บนถนน ชายหนุ่มยากจนคนหนึ่ง ได้ยินท่านเศรษฐีกล่าวเช่นนั้น จึงคิดนำหนูตายตัวนั้นไปทำให้เกิดประโยชน์ ชายหนุ่มนำหนูตายไปขายให้ยายแก่ได้เงินมา ๑ กากนึก ในวันรุ่งขึ้นเขาจึง นำเงินไปซื้อน้ำอ้อยมาขายที่ประตูเมืองเมื่อได้ดอกไม้มา เขาก็นำไปขาย ทำอย่างนี้อยู่ไม่นานก็สามารถรวบรวมทรัพย์ได้ถึง ๘ กหาปณะ ต่อมาวันหนึ่งในฤดูฝน ฝนตกหนักพายุพัดแรง กิ่งไม้ในพระราชอุทยานหักล้มระเนระนาดเมื่อนายอุทยานมาพบเข้า จึงเกิดความกังวลถึงเรื่องการขนย้ายต้นไม้ที่ล้มจำนวนมากออกจากอุทยานเมื่อชายหนุ่มรับปากกับนายอุทยานแล้ว เขาจึงเดินไปยังสนามเด็กเล่นเมื่อชายหนุ่มได้บอกถึงเรื่องที่ต้องการให้ช่วย เหลือเด็กๆ เหล่านั้นจึงมาช่วยขนต้นไม้กิ่งไม้ออกจากอุทยานด้วยความเต็มใจ เขาได้ทร้พย์มา จากการขายกิ่งไม้เหล่านั้น ถึง ๑๖ กหาปณะและยังได้โอ่งน้ำเนื้อดีใบใหญ่ และหม้อไห ต่างๆ มาอีก ๕ ใบ
ที่มาwww.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
ที่มาwww.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
พญาวานรกับจระเข้
ในอดีตกาลนานนับอสงไขยกัป มีวานรโทนตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่งเมื่อเจริญวัยเต็มที่ ก็เป็นวานรที่มีร่างกายใหญ่โตกำยำ มีเรี่ยวแรงแข็งขันดังพญาช้างสาร ผิดกว่าวานรตัวใดทั้งสิ้นแม่น้ำสายที่ไหลผ่านป่าแห่งนี้ เป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่มาก มีเกาะกลางน้ำอยู่เกาะหนึ่ง อุดมด้วยผลไม้นานาชนิด สัตว์บกอื่นใดในป่าไม่อาจข้ามไปกินได้ นอกจากวานรตัวนี้เท่านั้นถึงแม้พญาวานรจะมีกำลังมาก แต่ก็ไม่สามารถกระโจนรวดเดียวไปถึงเกาะได้ จำต้องอาศัยโขดหินแผ่นหนึ่งกลางลำน้ำ เป็นที่พักเท้ากระโจนข้ามไปอีกทอดหนึ่งในย่านนี้ มีจระเข้ ๒ ตัวผัวเมีย อาศัยอยู่ใกล้ๆเกาะ คอยดักจับสัตว์ที่เผลอมากินน้ำเล่นน้ำตามชายฝั่งเป็นอาหารอยู่เนืองๆคราวหนึ่งนางจระเข้เกิดแพ้ท้อง นางเหลือบเห็นพญาวานรกระโจนข้ามแม่น้ำไป ทำให้นึกอยากกินหัวใจวานรขึ้นมาทันที จระเข้สามีรับปากจะจับพญาวานรมาให้ แต่เมื่อเห็นความคล่องแคล่วว่องไวของพญาวานรแล้วก็ชักท้อใจในที่สุดพญาจระเข้ก็คิดอุบายได้ ในวันรุ่งขึ้น พญาจระเข้ก็คลานขึ้นไปนอนหมอบนิ่งบนแผ่นหิน ซึ่งพญาวานรใช้เป็นที่กระโดดพญาจระเข้หมอบนิ่งไม่กระดุกกระดิก รอคอยเวลาที่เหยื่อจะกลับมาจากหากินในตอนเย็นซุกหัวซุกหางอย่างดีด้วยเกรง ว่าจะเป็นพิรุธให้พญาวานรสังเกตได้พอตกเย็นพญาวานรเที่ยวเก็บผลไม้บนเกาะกินจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับที่อยู่ของตนแต่เมื่อมองดูแผ่นหินที่ตนใช้กระโดด พญาวานรก็รู้สึกผิดสังเกตพญาวานรต้องการตรวจสอบให้แน่ใจจึงคิดอุบายโดยแสร้งตะโกนด้วยสำเนียงอันคุ้นเคยออกไปว่าเท่านี้เอง พญาจระเข้ก็หลงกลเพราะความรู้และความช่างสังเกตมีน้อยหลงคิดว่าพญาวานรกับแผ่นหินนี้ คงเคยพูดเล่นกันทุกวันพญาจระเข้หลงเชื่อว่าพญาวานรจะยอมสละชีวิตแก่ตนจริงๆ จึงอ้าปากคอย โดยลืมคิดถึง ธรรมชาติของตนว่า เมื่ออ้าปากตาก็จะปิดสนิททันทีที่พญาจระเข้อ้าปาก พญาวานรก็เผ่นลิ่วลงเหยียบหัวจระเข้อย่างเหมาะเจาะ แล้วถีบตัวข้ามต่อไปยังฝั่งตรงข้ามในชั่วพริบตาเมื่อพญาวานรกระโดดมายังฝั่งตรงข้ามได้แล้ว พญาจระเข้ก็รู้ตัวว่าหลงกลพญาวานร แต่ก็หวนคิดอัศจรรย์ใจว่าพญาจระเข้ได้คลายความแค้นเคือง กลับนึกรักในน้ำใจพญาวานร แล้วกล่าวสรรเสริญด้วยความจริงใจ จากนั้นพญาจระเข้ ก็กลับสู่ที่อยู่ของตน ส่วนพญาวานรก็เที่ยวหากินอยู่แต่เฉพาะป่านั้น ไม่ข้ามไปที่เกาะกลางน้ำอีกจนตลอดอายุขัย
ที่มาwww.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
ที่มาwww.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
กลโกงพ่อค้า
นิทานชาดก – กลโกงพ่อค้า
กลโกงพ่อค้าในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตุวัน เมืองสาวัตถีได้ปรารภถึงพ่อค้าโกงผู้หนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานชาดกมาเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าอยู่เมืองพาราณสีมีชื่อว่า บัณฑิต เขาได้เข้าหุ้นทำการค้ากับพ่อค้าคนหนึ่งชื่อว่า อติบัณฑิต วันหนึ่งพ่อค้าทั้งสองชวนกันบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน 500 เล่มไปขายที่ชายแดนแห่งหนึ่ง ได้กำไรกลับมาอย่างงาม เมื่อกลับมาถึงเมืองพาราณสีแล้ว ถึงเวลาแบ่งเงินกัน นายอติบัณฑิตบอกกับเพื่อนว่า“นี่เพื่อนรัก เราว่าเราควรได้ส่วนแบ่งสองส่วนนะ”“ทำไมล่ะเพื่อน”พระโพธิสัตว์ในร่างพ่อค้าบัณฑิตถาม“ก็เพราะเจ้าชื่อบัณฑิตเฉย ๆ ควรได้ส่วนเดียว ส่วนเราชื่ออติบัณฑิตก็ควรจะได้สองส่วน”อติบัณฑิตตอบ ทำเอาพระโพธิสัตว์ถึงกับอึ้งไปและบอกว่า“ทั้งทุนรอน และพาหนะขนของเราสองคนออกเท่าๆ กัน แล้วเวลาแบ่งกันทำไมถึงได้ไม่เท่ากันล่ะ ข้าไม่เข้าใจ”นายบัณฑิตบอก“เพื่อความเป็นธรรม เราหาคนกลางมาตัดสินดีกว่า ท่านรุกขเทวดาน่าจะดีที่สุด เราไปหาท่านกันเถอะ”นายอติบัณฑิตบอกแล้วพานายบัณฑิตไปหารุกขเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่งที่ท้าย หมู่บ้าน ซึ่งนายอติบัณฑิตได้ใช่เล่ย์ให้พ่อของตนเองไปแอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ปลอมเป็น รุกขเทวดา ทั้งสองคนไปคุกเข่าต่อหน้าต้นไม้แล้วพูดขอให้รุกขเทวดาช่วยตัดสินปัญหาให้“ท่านรุกขเทวดาโปรดช่วยเราสองคนด้วย เรามีปัญหาแบ่งทรัพย์กันไม่ลงตัว”ทั้งสองคนเล่าเรื่องให้ฟัง พอเล่าจบก็มีเสียงของรุกขเทวดาเปล่งออกมาจากต้นไม้ใหญ่นั้น“จากเรื่องที่เล่ามา คนชื่ออติบัณฑิตควรได้ 2 ส่วน คนชื่อบัณฑิตควรได้แค่ 1 ส่วนนายบัณฑิตนั้นไม่ใช่คนโง่ เขาสังเกตเห็นพิรุธหลายอย่าง จึงคิดพิสูจน์ว่ารุกขเทวดาที่ต้นไม้นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ อาศัยจังหวะที่นายอติบัณฑิตกลับไปแล้ว ย้อมมาที่ต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง“เดี๋ยวเถอะจะได้รู้กันว่าเป็นเทวดาจริงหรือเทวดาปลอมกันแน่”นายบัณฑิตคิดจะพิสูจน์ จึงไปเก็บฟืน แล้วนำมากองกันไว้โคนต้นไม้ แล้วจุดไฟเผาในโพรงไม้นั้น พ่อของนายอติบัณฑิตซึ่งอยู่ในนั้นสำลักควัน รีบหนีตายออกมาจากโพรงไม้แทบไม่ทัน เนื้อตัวดำสกปรกน่าตลก“เกือบถูกเผาแล้วสิเรา”พ่อนายอติบัณฑิตบ่นพึม ก่อนวิ่งหนีไปด้วยความอับอายที่มีคนจับได้
นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน คนเราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น อย่าเห็นแก่ได้มากไป จะไม่เป็นผลดีกับตัวเองและคนที่อยู่รอบข้าง
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
กลโกงพ่อค้าในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตุวัน เมืองสาวัตถีได้ปรารภถึงพ่อค้าโกงผู้หนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานชาดกมาเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าอยู่เมืองพาราณสีมีชื่อว่า บัณฑิต เขาได้เข้าหุ้นทำการค้ากับพ่อค้าคนหนึ่งชื่อว่า อติบัณฑิต วันหนึ่งพ่อค้าทั้งสองชวนกันบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน 500 เล่มไปขายที่ชายแดนแห่งหนึ่ง ได้กำไรกลับมาอย่างงาม เมื่อกลับมาถึงเมืองพาราณสีแล้ว ถึงเวลาแบ่งเงินกัน นายอติบัณฑิตบอกกับเพื่อนว่า“นี่เพื่อนรัก เราว่าเราควรได้ส่วนแบ่งสองส่วนนะ”“ทำไมล่ะเพื่อน”พระโพธิสัตว์ในร่างพ่อค้าบัณฑิตถาม“ก็เพราะเจ้าชื่อบัณฑิตเฉย ๆ ควรได้ส่วนเดียว ส่วนเราชื่ออติบัณฑิตก็ควรจะได้สองส่วน”อติบัณฑิตตอบ ทำเอาพระโพธิสัตว์ถึงกับอึ้งไปและบอกว่า“ทั้งทุนรอน และพาหนะขนของเราสองคนออกเท่าๆ กัน แล้วเวลาแบ่งกันทำไมถึงได้ไม่เท่ากันล่ะ ข้าไม่เข้าใจ”นายบัณฑิตบอก“เพื่อความเป็นธรรม เราหาคนกลางมาตัดสินดีกว่า ท่านรุกขเทวดาน่าจะดีที่สุด เราไปหาท่านกันเถอะ”นายอติบัณฑิตบอกแล้วพานายบัณฑิตไปหารุกขเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่งที่ท้าย หมู่บ้าน ซึ่งนายอติบัณฑิตได้ใช่เล่ย์ให้พ่อของตนเองไปแอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ปลอมเป็น รุกขเทวดา ทั้งสองคนไปคุกเข่าต่อหน้าต้นไม้แล้วพูดขอให้รุกขเทวดาช่วยตัดสินปัญหาให้“ท่านรุกขเทวดาโปรดช่วยเราสองคนด้วย เรามีปัญหาแบ่งทรัพย์กันไม่ลงตัว”ทั้งสองคนเล่าเรื่องให้ฟัง พอเล่าจบก็มีเสียงของรุกขเทวดาเปล่งออกมาจากต้นไม้ใหญ่นั้น“จากเรื่องที่เล่ามา คนชื่ออติบัณฑิตควรได้ 2 ส่วน คนชื่อบัณฑิตควรได้แค่ 1 ส่วนนายบัณฑิตนั้นไม่ใช่คนโง่ เขาสังเกตเห็นพิรุธหลายอย่าง จึงคิดพิสูจน์ว่ารุกขเทวดาที่ต้นไม้นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ อาศัยจังหวะที่นายอติบัณฑิตกลับไปแล้ว ย้อมมาที่ต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง“เดี๋ยวเถอะจะได้รู้กันว่าเป็นเทวดาจริงหรือเทวดาปลอมกันแน่”นายบัณฑิตคิดจะพิสูจน์ จึงไปเก็บฟืน แล้วนำมากองกันไว้โคนต้นไม้ แล้วจุดไฟเผาในโพรงไม้นั้น พ่อของนายอติบัณฑิตซึ่งอยู่ในนั้นสำลักควัน รีบหนีตายออกมาจากโพรงไม้แทบไม่ทัน เนื้อตัวดำสกปรกน่าตลก“เกือบถูกเผาแล้วสิเรา”พ่อนายอติบัณฑิตบ่นพึม ก่อนวิ่งหนีไปด้วยความอับอายที่มีคนจับได้
นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน คนเราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น อย่าเห็นแก่ได้มากไป จะไม่เป็นผลดีกับตัวเองและคนที่อยู่รอบข้าง
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
ยอดหญิงกตัญญู
นิทานชาดก – ยอดหญิงกตัญญู
สาเหตุที่ตรัสชาดก :: …..สมัยพุทธกาล ณ แคว้นโกศล มีโจรกลุ่มหนึ่งปล้นสะดมชาวบ้านแล้วหนีไป ชาวบ้านจึงพากันหาโจรจนมาถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง พบชาย ๓ คนกำลังไถนาอยู่ จึงคิดว่าเป็นโจรปลอมเป็นชาวนา จึงจับกุมทุบตีแล้วคุมตัวมาถวายพระเจ้าโกศล …..ต่อมา ได้มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินร้องให้รำพันรอบๆ พระราชวัง ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม ความทราบถึงพระเจ้าโกศล พระองค์มีรับสั่งให้นำผ้าสาฎกไปมอบให้แก่นาง แต่นางกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นและกล่าว “ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม คือสามี” …..ราชบุรุษจึงนำนางไปเข้าเฝ้า พระเจ้าโกศลได้ทรงซักถาม นางจึงว่า “สามีชื่อว่าเครื่องนุ่งห่มของหญิง เมื่อไม่มีสามี แม้จะนุ่งห่มผ้าราคาตั้ง ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ก็ชื่อว่าหญิงเปลือยอยู่นั่นเอง แม่น้ำไม่มีน้ำ ชื่อว่าเปลือย แว่นแคว้นไม่มีราชา ชื่อว่าเปลือย หญิงปราศจากสามี ถึงจะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย” …..พระเจ้าโกศลเกิดเลื่อมใสจึงตรัสคืนชายหนึ่งคนให้ นางจึงขอพี่ชายและให้เหตุผลว่า ถ้ายังมีชีวิตย่อมหาสามีใหม่และมีบุตรใหม่ได้ แต่บิดามารดาได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ไม่อาจจะมีพี่ชายได้อีก พระเจ้าโกศลเห็นความฉลาดของนางจึงโปรดไว้ชีวิตชายทั้งสาม …..เรื่องดังกล่าวเลื่องลือแม้กระทั่งในหมู่ภิกษุ ความทราบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่า อุจฉังคชาดก —
ข้อคิดจากชาดก
๑. ผู้ที่มีหน้าที่ปราบปราม นำคนผิดมาลงโทษ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าจับคนด้วยเพียงการคาดคะเน เพราะการลงโทษคนบริสุทธิ์เป็นบาปอย่างยิ่ง การปล่อยคนผิดไป ๑๐๐ คน ยังดีกว่าการลงโทษคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว …..
๒. คนเราควรหาโอกาส “ตอบแทนคุณ” ของผู้ที่มีพระคุณต่อเราอยู่เสมอ …..
๓. ผู้ที่รู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ ย่อมไม่ถึงความตกต่ำอย่างแน่นอน …..
๔. ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม แม้ความตายมาถึงตัว ก็มีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว สามารถเผชิญความตายโดยอาจหาญ ย่อมเป็นผู้ที่ “ประสบสุขได้แม้ในยามทุกข์” …..
๕. พี่น้องกันนั้น “ฆ่ากันไม่ตาย ขายกันไม่หมด” แม้จะมีเรื่องผิดใจกันอย่างไร แต่เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน ย่อมพึ่งพากันได้
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
สาเหตุที่ตรัสชาดก :: …..สมัยพุทธกาล ณ แคว้นโกศล มีโจรกลุ่มหนึ่งปล้นสะดมชาวบ้านแล้วหนีไป ชาวบ้านจึงพากันหาโจรจนมาถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง พบชาย ๓ คนกำลังไถนาอยู่ จึงคิดว่าเป็นโจรปลอมเป็นชาวนา จึงจับกุมทุบตีแล้วคุมตัวมาถวายพระเจ้าโกศล …..ต่อมา ได้มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินร้องให้รำพันรอบๆ พระราชวัง ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม ความทราบถึงพระเจ้าโกศล พระองค์มีรับสั่งให้นำผ้าสาฎกไปมอบให้แก่นาง แต่นางกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นและกล่าว “ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม คือสามี” …..ราชบุรุษจึงนำนางไปเข้าเฝ้า พระเจ้าโกศลได้ทรงซักถาม นางจึงว่า “สามีชื่อว่าเครื่องนุ่งห่มของหญิง เมื่อไม่มีสามี แม้จะนุ่งห่มผ้าราคาตั้ง ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ก็ชื่อว่าหญิงเปลือยอยู่นั่นเอง แม่น้ำไม่มีน้ำ ชื่อว่าเปลือย แว่นแคว้นไม่มีราชา ชื่อว่าเปลือย หญิงปราศจากสามี ถึงจะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย” …..พระเจ้าโกศลเกิดเลื่อมใสจึงตรัสคืนชายหนึ่งคนให้ นางจึงขอพี่ชายและให้เหตุผลว่า ถ้ายังมีชีวิตย่อมหาสามีใหม่และมีบุตรใหม่ได้ แต่บิดามารดาได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ไม่อาจจะมีพี่ชายได้อีก พระเจ้าโกศลเห็นความฉลาดของนางจึงโปรดไว้ชีวิตชายทั้งสาม …..เรื่องดังกล่าวเลื่องลือแม้กระทั่งในหมู่ภิกษุ ความทราบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่า อุจฉังคชาดก —
ข้อคิดจากชาดก
๑. ผู้ที่มีหน้าที่ปราบปราม นำคนผิดมาลงโทษ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าจับคนด้วยเพียงการคาดคะเน เพราะการลงโทษคนบริสุทธิ์เป็นบาปอย่างยิ่ง การปล่อยคนผิดไป ๑๐๐ คน ยังดีกว่าการลงโทษคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว …..
๒. คนเราควรหาโอกาส “ตอบแทนคุณ” ของผู้ที่มีพระคุณต่อเราอยู่เสมอ …..
๓. ผู้ที่รู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ ย่อมไม่ถึงความตกต่ำอย่างแน่นอน …..
๔. ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม แม้ความตายมาถึงตัว ก็มีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว สามารถเผชิญความตายโดยอาจหาญ ย่อมเป็นผู้ที่ “ประสบสุขได้แม้ในยามทุกข์” …..
๕. พี่น้องกันนั้น “ฆ่ากันไม่ตาย ขายกันไม่หมด” แม้จะมีเรื่องผิดใจกันอย่างไร แต่เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน ย่อมพึ่งพากันได้
ที่มา www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
วันลอยกระทง
วันลอยกระทง
วันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น 15 คำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยประมาณ 700 ปีมาแล้ว
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. 1800 ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้
ประวัติความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทงมีมานานจนสืบประวัติไม่ได้ และไม่มีในคัมภีร์ทางศาสนาเสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมานราชธน) ได้ค้นคว้าที่มาของประเพณีลอยกระทงไทยทุกภาคตลอดจนถึงประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา จีน อินเดีย ได้ความว่ามีประเพณีลอยกระทงทุกประเทศด้วยเหตุผลต่างๆ กัน
สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้
1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในนำด้วย
2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิาฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแกพระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้
การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ เช่น ใบตอง การกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ จุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำลำคลอง
ที่มาwww.bloggang.com/mainblog.php?id=luckyinlife&month...
วันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น 15 คำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยประมาณ 700 ปีมาแล้ว
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. 1800 ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้
ประวัติความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทงมีมานานจนสืบประวัติไม่ได้ และไม่มีในคัมภีร์ทางศาสนาเสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมานราชธน) ได้ค้นคว้าที่มาของประเพณีลอยกระทงไทยทุกภาคตลอดจนถึงประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา จีน อินเดีย ได้ความว่ามีประเพณีลอยกระทงทุกประเทศด้วยเหตุผลต่างๆ กัน
สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้
1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในนำด้วย
2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิาฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแกพระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้
การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ เช่น ใบตอง การกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ จุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำลำคลอง
ที่มาwww.bloggang.com/mainblog.php?id=luckyinlife&month...
วันพระ
วันพระ
วันพระ คำนี้ชาวพุทธทุกคนอาจเคยได้ยิน แต่มีไม่มากที่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ได้ดี...วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ หมายถึง วันประชุมถือศีลฟังธรรมในพุทธศาสนา (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) กำหนดเดือนทางจันทรคติ ละ 4 วัน ได้แก่* วันขึ้น 8 ค่ำ* วันขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ)* วันแรม 8 ค่ำ* วันแรม 15 ค่ำ (หากเดือนใดเป็นเดือนขาด ถือเอาวันแรม 14 ค่ำ)ในวันพระ พุทธศาสนิกชนถือเป็นวันสำคัญ ควรไปวัดเพื่อทำบุญ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และฟังธรรม สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาอาจถือศีลแปดในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใดๆ การทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปยิ่งกว่าในวันอื่นประวัติความเป็นมาของวันพระในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพืมพิสาร ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลว่า นักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชน ในวัน 8 ค่ำ และ 14 หรือ 15 ค่ำ พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็น วันธรรมสวนะ (สำหรับวันธรรมสวนะนี้ เมืองไทยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย)วันพระ วันนี้พระจันทร์จะเกิดปรากฏการ เต็มดวง ครึ่งดวง หรือหายไปทั้งดวงแบบพอดีๆวันพระ วันนี้ในยมโลกจะงดการทารุณสัตว์นรก และผลบุญจากญาติส่งมาลดหย่อนโทษได้วันพระ วันนี้หากได้อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ แล้วบุญจะส่งผลได้รวดเร็วทันใจวันพระ ขึ้น 15 ค่ำวันนี้พระภิกษุจะลงทบทวนศีลในอุโบสถวันพระ วันนี้โรงฆ่าสัตว์หยุด บางแห่งไม่มีเนื้อกินกันเลยวันพระ วันนี้หลายๆคนรักษาอุโบสถศีล(ศีล 8) กันอย่างเข้มข้นวันพระ วันนี้ในอดีตซ่องสถานบันเทิง และโรงเหล้าหยุดบริการแล้วในวันนี้วันพระแตกต่างหรือเหมือนเดิมหรือไม่ในสภาพสังคมที่อยู่กับกามจนชินร้านเหล้าขายตามปกติ ซ่อง หวย มอมเมาเยาวชน ภาคใต้ฆ่ารายวันไม่เว้นวันพระนี้บางวันฆ่าพระซะเลย เมื่อหิริโอตะปะของคนเสื่อมนี้แหละยุคขัยลงจริงๆอยากให้หลายๆคนที่เข้าใจความสำคัญของวันนี้ได้บอกเล่าความสำคัญของวันพระให้อีกหลายๆคนเข้าใจความสำคัญของวันสากลของโลกต่อไปใครมีความรู้เรื่องวันนี้เป็นพิเศษช่วยเติมหน่อยครับมาดูสื่อธรรมะบอกเล่าความสำคัญของวันพระกันผมรู้สึกรักวันพระมากๆ คุณเป็นเหมือนผมหรือเปล่า
ที่มา www.thaigoodview.com/library/studentshow/.../wanpra.html
วันพระ คำนี้ชาวพุทธทุกคนอาจเคยได้ยิน แต่มีไม่มากที่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ได้ดี...วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ หมายถึง วันประชุมถือศีลฟังธรรมในพุทธศาสนา (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) กำหนดเดือนทางจันทรคติ ละ 4 วัน ได้แก่* วันขึ้น 8 ค่ำ* วันขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ)* วันแรม 8 ค่ำ* วันแรม 15 ค่ำ (หากเดือนใดเป็นเดือนขาด ถือเอาวันแรม 14 ค่ำ)ในวันพระ พุทธศาสนิกชนถือเป็นวันสำคัญ ควรไปวัดเพื่อทำบุญ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และฟังธรรม สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาอาจถือศีลแปดในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใดๆ การทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปยิ่งกว่าในวันอื่นประวัติความเป็นมาของวันพระในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพืมพิสาร ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลว่า นักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชน ในวัน 8 ค่ำ และ 14 หรือ 15 ค่ำ พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็น วันธรรมสวนะ (สำหรับวันธรรมสวนะนี้ เมืองไทยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย)วันพระ วันนี้พระจันทร์จะเกิดปรากฏการ เต็มดวง ครึ่งดวง หรือหายไปทั้งดวงแบบพอดีๆวันพระ วันนี้ในยมโลกจะงดการทารุณสัตว์นรก และผลบุญจากญาติส่งมาลดหย่อนโทษได้วันพระ วันนี้หากได้อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ แล้วบุญจะส่งผลได้รวดเร็วทันใจวันพระ ขึ้น 15 ค่ำวันนี้พระภิกษุจะลงทบทวนศีลในอุโบสถวันพระ วันนี้โรงฆ่าสัตว์หยุด บางแห่งไม่มีเนื้อกินกันเลยวันพระ วันนี้หลายๆคนรักษาอุโบสถศีล(ศีล 8) กันอย่างเข้มข้นวันพระ วันนี้ในอดีตซ่องสถานบันเทิง และโรงเหล้าหยุดบริการแล้วในวันนี้วันพระแตกต่างหรือเหมือนเดิมหรือไม่ในสภาพสังคมที่อยู่กับกามจนชินร้านเหล้าขายตามปกติ ซ่อง หวย มอมเมาเยาวชน ภาคใต้ฆ่ารายวันไม่เว้นวันพระนี้บางวันฆ่าพระซะเลย เมื่อหิริโอตะปะของคนเสื่อมนี้แหละยุคขัยลงจริงๆอยากให้หลายๆคนที่เข้าใจความสำคัญของวันนี้ได้บอกเล่าความสำคัญของวันพระให้อีกหลายๆคนเข้าใจความสำคัญของวันสากลของโลกต่อไปใครมีความรู้เรื่องวันนี้เป็นพิเศษช่วยเติมหน่อยครับมาดูสื่อธรรมะบอกเล่าความสำคัญของวันพระกันผมรู้สึกรักวันพระมากๆ คุณเป็นเหมือนผมหรือเปล่า
ที่มา www.thaigoodview.com/library/studentshow/.../wanpra.html
ชนิดของคอมพิวเตอร์
ชนิดของคอมพิวเตอร์
พัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอดีตเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอดสุญญากาศขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และอายุการใช้งานต่ำ เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์ที่ทำจากชินซิลิกอนเล็ก ๆ ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และผลิตได้จำนวนมาก ราคาถูก ต่อมาสามารถสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนหลายแสนตัวบรรจุบนชิ้นซิลิกอนเล็ก ๆ เป็นวงจรรวมที่เรียกว่า ไมโครชิป (microchip) และใช้ไมโครชิปเป็นชิ้นส่วนหลักที่ประกอบอยู่ในคอมพิวเตอร์ ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง
ไมโครชิปที่มีขนาดเล็กนี้สามารถทำงานได้หลายหน้าที่ เช่น ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูล ทำหน้าที่เป็นหน่วยควบคุมอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก หรือทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ หมายถึงหน่วยงานหลักในการคิดคำนวณ การบวกลบคูณหาร การเปรียบเทียบ การดำเนินการทางตรรกะ ตลอดจนการสั่งการเคลื่อนข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หน่วยประมวลผลกลางนี้เรียกอีกอย่างว่า ซีพียู (Central Processing Unit : CPU)
การพัฒนาไมโครชิปที่ทำหน้าที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์มีการกระทำอย่างต่อเนื่องทำให้มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเกิดขึ้นเสมอ จึงเป็นการยากที่จะจำแนกชนิดของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างชัดเจน เพราะเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพอจะจำแนกชนิดคอมพิวเตอร์ตามสภาพการทำงานของระบบเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่และสภาพการใช้งานได้ดังนี้
ไมโครคอมพิวเตอร์ (micro computer) สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation) มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย
อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้งอักขระ
แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display : LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม
โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้ำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือน กับแล็ปท็อป
ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่นเป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจนบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก
สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation)
ผู้ใช้สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่องกราฟิก การสร้างรูปภาพและการทำภาพเคลื่อนไหว การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็นเครือข่ายทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จสำหรับใช้กับสถานีงานวิศวกรรมขึ้น เช่นโปรแกรมการจัดทำต้นฉบับหนังสือ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์ งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุมเครื่องจักร
การซื้อสถานีงานวิศวกรรมต่างจากการซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ และมีลักษณะการใช้งานเหมือนกัน ส่วนการซื้อสถานีงานวิศวกรรมนั้นยุ่งยากกว่า สถานีงานวิศวกรรมมีราคาแพงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์มาก การใช้งานก็ต้องการบุคลากรที่มีการฝึกหัดมาอย่างดี หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้
สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่ใช้ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์ ประสิทธิภาพของซีพียูของระบบอยู่ในช่วง 50-100 ล้านคำสั่งต่อวินาที (Million Instruction Per Second : MIPS) อย่างไรก็ตามหลักจากที่ใช้ซีพียูแบบริสก์ (Reduced Instruction Set Computer :RISC) ก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถเชิงคำนวณของซีพียูสูงขึ้นได้อีก ทำให้สร้างสถานีงานวิศวกรรมให้มีขีดความสามารถเชิงคำนวณได้มากกว่า 100 ล้านคำสั่งต่อวินาที
มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
มินิคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก
เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัด
ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงานคำนวณที่ต้องมีการคำนวณตัวเลขจำนวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น งานพยากรณ์อากาศ ที่ต้องนำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน และระดับชึ้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ งานนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก นอกจากนี้มีงานอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งมีความเร็วสูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุะ งานควบคุมทางอวกาศ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี เภสัชวิทยา และงานด้านวิศวกรรมการออกแบบ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบขนานที่เรียกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing : MPP) ซึ่งเป็นการคำนวณที่กระทำกับข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกัน
รวบรวมจาก หนังสือเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ช 0249 เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ สถาบันส่งเสริมารสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ที่มาwww.thaigoodview.com/library/.../lopburi/.../sec02p03.html
พัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอดีตเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอดสุญญากาศขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และอายุการใช้งานต่ำ เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์ที่ทำจากชินซิลิกอนเล็ก ๆ ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และผลิตได้จำนวนมาก ราคาถูก ต่อมาสามารถสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนหลายแสนตัวบรรจุบนชิ้นซิลิกอนเล็ก ๆ เป็นวงจรรวมที่เรียกว่า ไมโครชิป (microchip) และใช้ไมโครชิปเป็นชิ้นส่วนหลักที่ประกอบอยู่ในคอมพิวเตอร์ ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง
ไมโครชิปที่มีขนาดเล็กนี้สามารถทำงานได้หลายหน้าที่ เช่น ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูล ทำหน้าที่เป็นหน่วยควบคุมอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก หรือทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ หมายถึงหน่วยงานหลักในการคิดคำนวณ การบวกลบคูณหาร การเปรียบเทียบ การดำเนินการทางตรรกะ ตลอดจนการสั่งการเคลื่อนข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หน่วยประมวลผลกลางนี้เรียกอีกอย่างว่า ซีพียู (Central Processing Unit : CPU)
การพัฒนาไมโครชิปที่ทำหน้าที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์มีการกระทำอย่างต่อเนื่องทำให้มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเกิดขึ้นเสมอ จึงเป็นการยากที่จะจำแนกชนิดของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างชัดเจน เพราะเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพอจะจำแนกชนิดคอมพิวเตอร์ตามสภาพการทำงานของระบบเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่และสภาพการใช้งานได้ดังนี้
ไมโครคอมพิวเตอร์ (micro computer) สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation) มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย
อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้งอักขระ
แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display : LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม
โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้ำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือน กับแล็ปท็อป
ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่นเป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจนบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก
สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation)
ผู้ใช้สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่องกราฟิก การสร้างรูปภาพและการทำภาพเคลื่อนไหว การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็นเครือข่ายทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จสำหรับใช้กับสถานีงานวิศวกรรมขึ้น เช่นโปรแกรมการจัดทำต้นฉบับหนังสือ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์ งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุมเครื่องจักร
การซื้อสถานีงานวิศวกรรมต่างจากการซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ และมีลักษณะการใช้งานเหมือนกัน ส่วนการซื้อสถานีงานวิศวกรรมนั้นยุ่งยากกว่า สถานีงานวิศวกรรมมีราคาแพงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์มาก การใช้งานก็ต้องการบุคลากรที่มีการฝึกหัดมาอย่างดี หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้
สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่ใช้ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์ ประสิทธิภาพของซีพียูของระบบอยู่ในช่วง 50-100 ล้านคำสั่งต่อวินาที (Million Instruction Per Second : MIPS) อย่างไรก็ตามหลักจากที่ใช้ซีพียูแบบริสก์ (Reduced Instruction Set Computer :RISC) ก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถเชิงคำนวณของซีพียูสูงขึ้นได้อีก ทำให้สร้างสถานีงานวิศวกรรมให้มีขีดความสามารถเชิงคำนวณได้มากกว่า 100 ล้านคำสั่งต่อวินาที
มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
มินิคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก
เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัด
ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงานคำนวณที่ต้องมีการคำนวณตัวเลขจำนวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น งานพยากรณ์อากาศ ที่ต้องนำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน และระดับชึ้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ งานนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก นอกจากนี้มีงานอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งมีความเร็วสูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุะ งานควบคุมทางอวกาศ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี เภสัชวิทยา และงานด้านวิศวกรรมการออกแบบ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบขนานที่เรียกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing : MPP) ซึ่งเป็นการคำนวณที่กระทำกับข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกัน
รวบรวมจาก หนังสือเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ช 0249 เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ สถาบันส่งเสริมารสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ที่มาwww.thaigoodview.com/library/.../lopburi/.../sec02p03.html
ภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง
ที่มาwww.biotec.or.th/biotechnology-th/newsdetail.asp?id=2150
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง
ที่มาwww.biotec.or.th/biotechnology-th/newsdetail.asp?id=2150
ดอกชวนชม
ดอกชวนชม
ชวนชม ไม้ประดับที่น่าสนใจ
ชวนชม( Adenium obesum)
ชื่อสามัญ : Mock Azalea,Desert Rose, Impala Lily,Kudu Lily และ Sabi Star ชื่อวิทยาศาสตร์ : Adenium obesum (Forssk.) Roem & Schult.วงศ์ : Apocynaceae ถิ่นกำเนิด : Earth Africa ชวนชม(Adenium obesum) เป็นไม้ประดับชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้สนใจ รัก และปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ใบประดับกันอย่างมากที่สุด เพราะชวนชมเป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกเลี้ยงกันง่ายในสภาพอากาศร้อน ทรงต้นดูแปลกตา ให้ดอกชมกันตลอดปี และสีสันดอกสดใสสวยงามยิ่งมีการผสมพันธุ์จนได้ชวนชมต้นใหม่ที่แตกต่างออกไปจากต้นพ่อพันธุ์ต้นแม่พันธุ์ ทำให้มีชวนชมดอกสีแปลกๆ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ชวนชม หรือที่เรียกกันว่า ลั่นทมยะวา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันออก แถบแทนซาเนีย เคนยา และ ยูกันดา สามารถทนแล้งอยาในทะเลทรายได้เพราะเป็นพืชอวบน้ำจนได้ชื่อว่าเป็นกุหลาบแห่งทะเลทราย ที่มา( Desert Rose)การแยกประเภทสายพันธุ์ชวนชม แบ่งออกเป็น 5 สายพันธุ์ดังนี้ 1.Adenium obesum ssp. boehmianum (Schinz) G. Rowley ใบใหญ่ ปลายใบกลมหรือมน มีรอยเว้าแหลม ขอบใบปิดเป็นคลื่น ดอกสีชมพูถึงสีม่วง สีม่วงเข้มในส่วนของกลีบดอกที่เชื่อมกันเป็นหลอด พบในนามิเบีย และ ทางตอนใต้ของอังโกลา 2. Adenium obesum ssp.oleifolium (Stapf) G. Rowley ส่วนโคนต้นที่แข็งแรงและมีเนื้อไม้อยู่ใต้ดินลำต้นส่วนที่อยู่เหนือดินมีลักษณะผอมยาวและมีเนื้ออ่อน ใบรูปแถบขนาด 5´30 เซนติเมตร สีเขียวอมเทา แผ่นใบมีขนสั้นปกคลุม และมีสารจำพวกขี้ผึ้งเป็นผงละเอียดปกคลุมใบ พบในแถบตะวันออกของนามิเบีย ตอนเหนือของเคป และทางตอนใต้ของบอตสวานา 3.Adenium obesum ssp. socotranum (Vierh.) Lavranos ทรงพุ่มเตี้ย ลำต้นรวมกันเป็นกลุ่ม กิ่งเรียงเป็นแนวสั้นๆ รวมกันเป็นกระจุก แผ่นใบเกลี้ยง ดอกสีชมพูสด พบใน โซโคตรา 4 Adenium obesum ssp. somalense (Balf. f.) G. Rowley มีชื่อสามัญว่า Mock-azalea ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบรูปลูกศรแคบยาว แผ่นใบเกลี้ยง ยาวประมาณ 6 เซนติเมตร หรือรูปไข่ ใต้ใบสีเขียวนวล ดอกเล็กมีสีขาวถึงสีชมพู พบในเขตตะวันออกของแอฟริกา เคนยา โซมาลีแลนด์ และเอเดน5. Adenium obesum ssp. swazi*** (Stapf) G. Rowley มีชื่อสามัญว่า White Impala Lily ลำต้นส่วนโคนที่แข็งอยู่ใต้ดินบางส่วน ใบกว้างรูปหอกกลับ หรือรูปไข่ แผ่นใบหนา ใบอ่อนมีขนอ่อนเล็กๆปกคลุมใต้ใบ ดอกอ่อนบริเวณปลายยอดเป็นกลุ่ม ดอกสีขาว หลอดดอกสีแดงเข้ม พบในสวาซิแลนด์ ทรานสวาลล์ และโมซัมบิก
ดินปลูก ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ควรเป็นดินโปร่งร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ซึ่งสามารถใช้วัสดุเหลือจากการเกษตรที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่นมาผสมเป็นดินปลูกดังนี้ -หน้าดินผสมกับมะพร้าวสับและปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1: 2 : 1 ในส่วนของมะพร้าวสับถ้าเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก เราจะใช้มะพร้าวสับชิ้นเล็กแต่ถ้าต้นขนาดใหญ่ต้องใช้มะพร้าวสับที่ชิ้นใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ชิ้นเล็กจะย่อยสลายเร็ว และทำให้ดินแน่น การให้น้ำก็ให้เป็นปกติวันละครั้งไม่ให้น้ำจนน้ำแฉะมาก เพราะจะทำให้รากเน่า - ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกใบก้ามปูและกาบมะพร้าวสับ อัตราส่วน 1:1:2:4 ผสมให้เข้ากันสามารถใช้กับชวนชมได้ทุกขนาด น้ำ ที่ควรใช้ควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรลดดอกเพราะจะทำให้กลีบดอกช้ำ และร่วงเร็ว ผู้ปลูกควรสังเกตการให้น้ำดังนี้ - สภาพของต้นชวนชมถ้าขาดน้ำใบจะเหี่ยวขอบใบไหม้และร่วง ดอกมีอายุการบานสั้นและร่วงเร็วถ้าได้รับน้ำมากเกินไป รากจะเน่า โคนนิ่มทำให้ต้นเหี่ยวทั้งต้น - เครื่องปลูกควรปรับปรุงดินให้โปร่งด้วยกาบมะพร้าวสับหรือแกลบ เมื่อผิวดินแตกเป็นเกล็ดให้ลดน้ำจนน้ำซึมออกมาจากก้นกระถาง - สภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาวควรลดน้ำช่วงเช้าวันละครั้งตามปกติ แต่ในฤดูฝนควรเว้นช่วงตามความเหมาะสม การลดน้ำช่วงเช้าโดยให้น้ำละเหยก่อนถึงเย็นช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่ระบาดในสภาพความชื้นสูง แสงแดด ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ชอบแดด 100% อยู่แล้ว เพราะเป็นไม้เขตร้อน แต่ถ้าจะให้ดีช่วงที่เป็นต้นเล็กๆควรไว้ที่ร่มก่อนแล้วค่อยเอาออกแดดหรือในที่โล่งแจ้ง ปุ๋ย ชวนชมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น นิยมใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าการให้ปุ๋ยช่วงแรกเมื่อต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยที่มีสูตร ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร15-5-5 หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 2 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนจึงเริ่มมีใบสีเขียว พร้อมที่จะออกดอกใช้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 6-24-24 ทุกๆ 2 สัปดาห์ประมาณ 45 วัน จะออดดอกชุดแรก หลังจากนั้นบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 1 เดือนต่อครั้ง และให้ธาตุอาหารเสริม เช่น minerass ที่มีธาตุโบรอน (B),แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),สังกะสี (Zn),ทองแดง ( Cu),และโมลิบดีนัม (Mo)ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง
การขยายพันธุ์ ชวนชมทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การเสียบกิ่ง ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นต้น ต้นพืชที่ได้จะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการเป็นการขยายพันธุ์ที่มีวัตถุประสงค์เชิงการค้า ส่วนอีกวิธีคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการผสมเกสร ลูกผสมที่ได้จะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงในด้ารรูปทรง ใบ ดอก และสี ที่แตกต่างจากต้นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ เป็นการสร้างลูกผสมใหม่ออกมาเพื่อคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีตามความต้องการของผู้ปลูกเลี้ยง
โรคและแมลงศัตรู ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดี ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุด ป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดง จะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน
ที่มา www.bloggang.com/mainblog.php?id=luckyinlife&month...
ชวนชม ไม้ประดับที่น่าสนใจ
ชวนชม( Adenium obesum)
ชื่อสามัญ : Mock Azalea,Desert Rose, Impala Lily,Kudu Lily และ Sabi Star ชื่อวิทยาศาสตร์ : Adenium obesum (Forssk.) Roem & Schult.วงศ์ : Apocynaceae ถิ่นกำเนิด : Earth Africa ชวนชม(Adenium obesum) เป็นไม้ประดับชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้สนใจ รัก และปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ใบประดับกันอย่างมากที่สุด เพราะชวนชมเป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกเลี้ยงกันง่ายในสภาพอากาศร้อน ทรงต้นดูแปลกตา ให้ดอกชมกันตลอดปี และสีสันดอกสดใสสวยงามยิ่งมีการผสมพันธุ์จนได้ชวนชมต้นใหม่ที่แตกต่างออกไปจากต้นพ่อพันธุ์ต้นแม่พันธุ์ ทำให้มีชวนชมดอกสีแปลกๆ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ชวนชม หรือที่เรียกกันว่า ลั่นทมยะวา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันออก แถบแทนซาเนีย เคนยา และ ยูกันดา สามารถทนแล้งอยาในทะเลทรายได้เพราะเป็นพืชอวบน้ำจนได้ชื่อว่าเป็นกุหลาบแห่งทะเลทราย ที่มา( Desert Rose)การแยกประเภทสายพันธุ์ชวนชม แบ่งออกเป็น 5 สายพันธุ์ดังนี้ 1.Adenium obesum ssp. boehmianum (Schinz) G. Rowley ใบใหญ่ ปลายใบกลมหรือมน มีรอยเว้าแหลม ขอบใบปิดเป็นคลื่น ดอกสีชมพูถึงสีม่วง สีม่วงเข้มในส่วนของกลีบดอกที่เชื่อมกันเป็นหลอด พบในนามิเบีย และ ทางตอนใต้ของอังโกลา 2. Adenium obesum ssp.oleifolium (Stapf) G. Rowley ส่วนโคนต้นที่แข็งแรงและมีเนื้อไม้อยู่ใต้ดินลำต้นส่วนที่อยู่เหนือดินมีลักษณะผอมยาวและมีเนื้ออ่อน ใบรูปแถบขนาด 5´30 เซนติเมตร สีเขียวอมเทา แผ่นใบมีขนสั้นปกคลุม และมีสารจำพวกขี้ผึ้งเป็นผงละเอียดปกคลุมใบ พบในแถบตะวันออกของนามิเบีย ตอนเหนือของเคป และทางตอนใต้ของบอตสวานา 3.Adenium obesum ssp. socotranum (Vierh.) Lavranos ทรงพุ่มเตี้ย ลำต้นรวมกันเป็นกลุ่ม กิ่งเรียงเป็นแนวสั้นๆ รวมกันเป็นกระจุก แผ่นใบเกลี้ยง ดอกสีชมพูสด พบใน โซโคตรา 4 Adenium obesum ssp. somalense (Balf. f.) G. Rowley มีชื่อสามัญว่า Mock-azalea ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบรูปลูกศรแคบยาว แผ่นใบเกลี้ยง ยาวประมาณ 6 เซนติเมตร หรือรูปไข่ ใต้ใบสีเขียวนวล ดอกเล็กมีสีขาวถึงสีชมพู พบในเขตตะวันออกของแอฟริกา เคนยา โซมาลีแลนด์ และเอเดน5. Adenium obesum ssp. swazi*** (Stapf) G. Rowley มีชื่อสามัญว่า White Impala Lily ลำต้นส่วนโคนที่แข็งอยู่ใต้ดินบางส่วน ใบกว้างรูปหอกกลับ หรือรูปไข่ แผ่นใบหนา ใบอ่อนมีขนอ่อนเล็กๆปกคลุมใต้ใบ ดอกอ่อนบริเวณปลายยอดเป็นกลุ่ม ดอกสีขาว หลอดดอกสีแดงเข้ม พบในสวาซิแลนด์ ทรานสวาลล์ และโมซัมบิก
ดินปลูก ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ควรเป็นดินโปร่งร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ซึ่งสามารถใช้วัสดุเหลือจากการเกษตรที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่นมาผสมเป็นดินปลูกดังนี้ -หน้าดินผสมกับมะพร้าวสับและปุ๋ยคอก อัตราส่วน 1: 2 : 1 ในส่วนของมะพร้าวสับถ้าเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก เราจะใช้มะพร้าวสับชิ้นเล็กแต่ถ้าต้นขนาดใหญ่ต้องใช้มะพร้าวสับที่ชิ้นใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ชิ้นเล็กจะย่อยสลายเร็ว และทำให้ดินแน่น การให้น้ำก็ให้เป็นปกติวันละครั้งไม่ให้น้ำจนน้ำแฉะมาก เพราะจะทำให้รากเน่า - ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกใบก้ามปูและกาบมะพร้าวสับ อัตราส่วน 1:1:2:4 ผสมให้เข้ากันสามารถใช้กับชวนชมได้ทุกขนาด น้ำ ที่ควรใช้ควรเป็นน้ำสะอาดไม่ควรลดดอกเพราะจะทำให้กลีบดอกช้ำ และร่วงเร็ว ผู้ปลูกควรสังเกตการให้น้ำดังนี้ - สภาพของต้นชวนชมถ้าขาดน้ำใบจะเหี่ยวขอบใบไหม้และร่วง ดอกมีอายุการบานสั้นและร่วงเร็วถ้าได้รับน้ำมากเกินไป รากจะเน่า โคนนิ่มทำให้ต้นเหี่ยวทั้งต้น - เครื่องปลูกควรปรับปรุงดินให้โปร่งด้วยกาบมะพร้าวสับหรือแกลบ เมื่อผิวดินแตกเป็นเกล็ดให้ลดน้ำจนน้ำซึมออกมาจากก้นกระถาง - สภาพอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาวควรลดน้ำช่วงเช้าวันละครั้งตามปกติ แต่ในฤดูฝนควรเว้นช่วงตามความเหมาะสม การลดน้ำช่วงเช้าโดยให้น้ำละเหยก่อนถึงเย็นช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่ระบาดในสภาพความชื้นสูง แสงแดด ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ชอบแดด 100% อยู่แล้ว เพราะเป็นไม้เขตร้อน แต่ถ้าจะให้ดีช่วงที่เป็นต้นเล็กๆควรไว้ที่ร่มก่อนแล้วค่อยเอาออกแดดหรือในที่โล่งแจ้ง ปุ๋ย ชวนชมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น นิยมใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้าการให้ปุ๋ยช่วงแรกเมื่อต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยที่มีสูตร ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร15-5-5 หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ทุกๆ 2 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนจึงเริ่มมีใบสีเขียว พร้อมที่จะออกดอกใช้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 6-24-24 ทุกๆ 2 สัปดาห์ประมาณ 45 วัน จะออดดอกชุดแรก หลังจากนั้นบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 1 เดือนต่อครั้ง และให้ธาตุอาหารเสริม เช่น minerass ที่มีธาตุโบรอน (B),แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),สังกะสี (Zn),ทองแดง ( Cu),และโมลิบดีนัม (Mo)ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง
การขยายพันธุ์ ชวนชมทำได้ 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การเสียบกิ่ง ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นต้น ต้นพืชที่ได้จะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการเป็นการขยายพันธุ์ที่มีวัตถุประสงค์เชิงการค้า ส่วนอีกวิธีคือ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการผสมเกสร ลูกผสมที่ได้จะมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงในด้ารรูปทรง ใบ ดอก และสี ที่แตกต่างจากต้นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ เป็นการสร้างลูกผสมใหม่ออกมาเพื่อคัดเลือกต้นที่มีลักษณะดีตามความต้องการของผู้ปลูกเลี้ยง
โรคและแมลงศัตรู ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดี ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุด ป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดง จะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน
ที่มา www.bloggang.com/mainblog.php?id=luckyinlife&month...
โคลงสี่สุภาพ
ห้องเรียนสีชมพู เรียนรู้ร้อยกรองกาพย์ และกลอน คุยกับครูภาทิพตัวอย่างการแต่งโคลงสี่สุภาพและโคลงกระทู้
ข้อบังคับของโคลงสี่สุภาพ (สังเกตจากแผนผัง)๑. บทหนึ่งมี ๔ บรรทัด๒. วรรคหน้าของทุกบรรทัด มี ๕ พยางค์ วรรคหลังของบรรทัดที่ ๑ - ๓ มี ๒ พยางค์ บรรทัดที่ ๔ มี ๔ พยางค์ สามารถท่องจำนวนพยางค์ได้ดังนี้ห้า -สอง (สร้อย ๒ พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคำ ต่อคำ เชื่อมคำ )ห้า- สองห้า - สอง (สร้อย ๒ พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคำ ต่อคำ เชื่อมคำ )ห้า - สี่ (หากจะให้เกิดความไพเราะในการอ่านนิยมลงเสียงจัตวา)๓. มีตำแหน่งสัมผัสตามเส้นโยง๔. บังคับรูปวรรณยุกต์ เอก ๗ โท ๔ ตามตำแหน่งในแผนผัง
. กรณีที่ไม่สามารถหาพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์ตามต้องการได้ให้ใช้ เอกโทษ และโทโทษ เอกโทษ และโทโทษ คืออะไร?
คำเอกคำโท หมายถึงพยางค์ที่บังคับด้วยรูปวรรณยุกต์เอก และรูปวรรณยุต์โท กำกับ อยู่ในคำนั้น โดยมีลักษณะบังคับไว้ดังนี้
คำเอก ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอกบังคับ เช่น ล่า เก่า ก่อน น่า ว่าย ไม่ ฯลฯ และให้รวมถึงคำตายทั้งหมดไม่ว่าจะมีเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม เช่น ปะ พบ รึ ขัด ชิด (ในโคลงและร่ายใช้ คำตาย แทนคำเอกได้)
คำตายคือ1.คำที่ประสมสระเสียงสั้นแม่ ก กา (ไม่มีตัวสะกด)เช่นกะ ทิ สิ นะ ขรุ ขระ เละ เปรี๊ยะ เลอะ โปีะฯลฯ
2. คำที่สะกดด้วยแม่ กก กบ กด เช่น เลข วัด สารท โจทย์ วิทย์ ศิษย์ มาก โชค ลาภ ฯลฯ
คำโท ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์โทบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม เช่น ข้า ล้ม เศร้า ค้าน
คำเอก คำโท ใช้ในการแต่งคำประพันธ์ประเภท "โคลง" และ "ร่าย"และถือว่าเป็นข้อ บังคับของ ฉันทลักษณ์ที่สำคัญมาก ถึงกับยอมให้เอาคำที่ไม่เคยใช้รูปเอก รูปโท แปลงมาใช้ เอก และ โท ได้ เช่น เล่น นำมาเขียนใช้เป็น เหล้น ได้ เรียกว่า "โทโทษ" ห้าม ข้อน นำมาเขียนเป็น ฮ่าม ค่อน เรียกว่า "เอกโทษ" เอกโทษและโทโทษ นำมาใช้แก้ปัญหาได้ แต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เอกโทษและโทโทษ
ที่มา : http://www.st.ac.th/thaidepart/poemt2.php#chan6
หากแต่งโคลงสี่สุภาพ ตามกระทู้หรือตามหัวข้อเรื่อง จะเรียกโคลงนั้นว่าโคลงกระทู้โดยผู้แต่งจะเขียนกระทู้แยกออกมาด้านข้าง หากแยกออกมา ๑ พยางค์ เรียกว่ากระทู้ ๑ คำหากแยกออกมา ๒ พยางค์ เรียกว่ากระทู้ ๒ คำ ดูตัวอย่างด้านล่าง หรือจากสุภาษิตคำโคลง บางสำนวน
ตัวอย่างคำประพันธ์ที่นิยมท่องเป็นต้นแบบเพื่อง่ายต่อการจดจำแผนผัง
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง
อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร
ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล
ลืมตื่น ฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า
อย่าได้ถามเผือ
ลิลิตพระลอ
โปรดสังเกตคู่สัมผัสจากสีของคำตัวอย่างโคลงกระทู้ ๑ คำกวนน้ำให้ขุ่น
กวน
ตะกอนสงบแล้ว
กลับมา
น้ำ
ขุ่นคลักอีกครา
สุดใช้
ให้
คนตัดปัญหา
เหตุแห่ง เคืองแล
ขุ่น
ข่มจิตสงบไว้
อย่าได้ฟื้นความ
ครูภาทิพ ศรีสุทธิ์
๏ มาฆบูชาเทศน์ถ้อยคืนค่ำบำเพ็ญบุญวารโอวาทคอยจุน เพ็ญพร่างทางธรรมเยื้อง
ธรรมคุณบาทเบื้อง จิตสว่าง ไสวแล ย่างย้ายขยายธรรม
๏ พันสองร้อยห้าสิบถ้วน เผยแพร่ธรรมพุทธองค์ หมายมุ่งกลับคืนคง เวฬุวันเหมือนแม้น
พระสงฆ์ออกแคว้นราชคฤห์ พร้อมนาดั่งได้นัดหมาย
๏ โอวาทปาติโมกข์เน้น ละชั่วกรวดตะกอน ทำดีขจายขจร จิตผ่องผุดผาดเกื้อ
นำสอนกร่อนเนื้อจบทั่ว สกนธ์แฮ ก่อให้โลกงาม
๏ ดอกบัวเทียนธูปน้อม อรหังสัมมาขาน นะโมตัสสะสาร อิติปิโสแล้ว
นมัสการแจ่มแจ้วสามจบ กระจ่างนาสืบถ้วนสรรเสริญ
๏ "องค์ใดพระสัมพุทธ"ซร้อง สวากขาโตเพียง "ธรรมะคือคุณากร"เคียง สุปฏิปันโนย้ำ
สืบเสียงเพราะล้ำขานสดับ จิตนาอย่าได้ลืมหลง
๏ "สงฆ์ใดสาวก"ผู้ พาหุงสหัสฯผจง ตาม"ปางเมื่อพระองค์" "อัชชายัง"ประจวบครั้ง
ดำรง ศาสน์นอจิตตั้งเอิบอิ่ม ฤทัยแลแต่เบื้องพุทธกาล
๏ "มาฏะนักขัตตะ"แล้วสามจบทักษิณา รำลึกพระพุทธาพระธรรมพระสงฆ์ไซร้
เวียนขวานิ่งไว้อิติ ปิโสแลเสร็จสิ้นมาฆวาร ๚ ๛
อ.ภาทิพ ศรีสุทธิ์23 ก.พ.48
๏ เดือนแปดแรมค่ำพร้อม
พักฝน
สงฆ์หยุดจรดล
ดุ่มด้าว
เดิมเหตุแห่งผองพล
ตำหนิ มานา
เหยียบย่ำพืชพันธุ์ข้าว
ร่ำร้องเสียหาย
๏ สัตตาหะกฎแจ้ง
เจ็ดวัน
สงฆ์เคลื่อนออกเขตขัณฑ์
ขัดข้อง
เกินกว่ากำหนดพรร-
ษาขาด นาพ่อ
จำอ่านเขียนเพียรซ้อง
สวดซ้ำคำสอน
๏ สบงจีวรพรั่งพร้อม
เข็มบาตร
รัดประคดอนุญาต
กล่าวไว้
หม้อกรองน้ำมิพลาด
สังฆาฎิ อีกนา
อัฏฐบริขารของใช้
ชั่วครั้งพรรษา
๏ชุมชนคอยเคี่ยวน้ำ
หลอมเทียน
ลางแท่งสลักเพียร
เพริศแพร้ว
สมโภชน์แห่รำเวียน
กลองแห่ แหนนา
เงินพุ่มตามเทียนแก้ว
สู่ห้วงวิหาร
๏ ตักบาตรพาผ่องแผ้ว
พบบุญ
จิตแจ่มเกิดการุณย์
เปล่าร้อน
ความดีเพิ่มพูนตุน
เต็มชาติ นี้นอ
หยุดเสพหยุดยอกย้อน
อยู่ด้วยสัตย์ศีล
ครูภาทิพ 20 ก.ค.48
ที่มาwww.st.ac.th/bhatips/klong.htm
ข้อบังคับของโคลงสี่สุภาพ (สังเกตจากแผนผัง)๑. บทหนึ่งมี ๔ บรรทัด๒. วรรคหน้าของทุกบรรทัด มี ๕ พยางค์ วรรคหลังของบรรทัดที่ ๑ - ๓ มี ๒ พยางค์ บรรทัดที่ ๔ มี ๔ พยางค์ สามารถท่องจำนวนพยางค์ได้ดังนี้ห้า -สอง (สร้อย ๒ พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคำ ต่อคำ เชื่อมคำ )ห้า- สองห้า - สอง (สร้อย ๒ พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคำ ต่อคำ เชื่อมคำ )ห้า - สี่ (หากจะให้เกิดความไพเราะในการอ่านนิยมลงเสียงจัตวา)๓. มีตำแหน่งสัมผัสตามเส้นโยง๔. บังคับรูปวรรณยุกต์ เอก ๗ โท ๔ ตามตำแหน่งในแผนผัง
. กรณีที่ไม่สามารถหาพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์ตามต้องการได้ให้ใช้ เอกโทษ และโทโทษ เอกโทษ และโทโทษ คืออะไร?
คำเอกคำโท หมายถึงพยางค์ที่บังคับด้วยรูปวรรณยุกต์เอก และรูปวรรณยุต์โท กำกับ อยู่ในคำนั้น โดยมีลักษณะบังคับไว้ดังนี้
คำเอก ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอกบังคับ เช่น ล่า เก่า ก่อน น่า ว่าย ไม่ ฯลฯ และให้รวมถึงคำตายทั้งหมดไม่ว่าจะมีเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม เช่น ปะ พบ รึ ขัด ชิด (ในโคลงและร่ายใช้ คำตาย แทนคำเอกได้)
คำตายคือ1.คำที่ประสมสระเสียงสั้นแม่ ก กา (ไม่มีตัวสะกด)เช่นกะ ทิ สิ นะ ขรุ ขระ เละ เปรี๊ยะ เลอะ โปีะฯลฯ
2. คำที่สะกดด้วยแม่ กก กบ กด เช่น เลข วัด สารท โจทย์ วิทย์ ศิษย์ มาก โชค ลาภ ฯลฯ
คำโท ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์โทบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม เช่น ข้า ล้ม เศร้า ค้าน
คำเอก คำโท ใช้ในการแต่งคำประพันธ์ประเภท "โคลง" และ "ร่าย"และถือว่าเป็นข้อ บังคับของ ฉันทลักษณ์ที่สำคัญมาก ถึงกับยอมให้เอาคำที่ไม่เคยใช้รูปเอก รูปโท แปลงมาใช้ เอก และ โท ได้ เช่น เล่น นำมาเขียนใช้เป็น เหล้น ได้ เรียกว่า "โทโทษ" ห้าม ข้อน นำมาเขียนเป็น ฮ่าม ค่อน เรียกว่า "เอกโทษ" เอกโทษและโทโทษ นำมาใช้แก้ปัญหาได้ แต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เอกโทษและโทโทษ
ที่มา : http://www.st.ac.th/thaidepart/poemt2.php#chan6
หากแต่งโคลงสี่สุภาพ ตามกระทู้หรือตามหัวข้อเรื่อง จะเรียกโคลงนั้นว่าโคลงกระทู้โดยผู้แต่งจะเขียนกระทู้แยกออกมาด้านข้าง หากแยกออกมา ๑ พยางค์ เรียกว่ากระทู้ ๑ คำหากแยกออกมา ๒ พยางค์ เรียกว่ากระทู้ ๒ คำ ดูตัวอย่างด้านล่าง หรือจากสุภาษิตคำโคลง บางสำนวน
ตัวอย่างคำประพันธ์ที่นิยมท่องเป็นต้นแบบเพื่อง่ายต่อการจดจำแผนผัง
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง
อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร
ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล
ลืมตื่น ฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า
อย่าได้ถามเผือ
ลิลิตพระลอ
โปรดสังเกตคู่สัมผัสจากสีของคำตัวอย่างโคลงกระทู้ ๑ คำกวนน้ำให้ขุ่น
กวน
ตะกอนสงบแล้ว
กลับมา
น้ำ
ขุ่นคลักอีกครา
สุดใช้
ให้
คนตัดปัญหา
เหตุแห่ง เคืองแล
ขุ่น
ข่มจิตสงบไว้
อย่าได้ฟื้นความ
ครูภาทิพ ศรีสุทธิ์
๏ มาฆบูชาเทศน์ถ้อยคืนค่ำบำเพ็ญบุญวารโอวาทคอยจุน เพ็ญพร่างทางธรรมเยื้อง
ธรรมคุณบาทเบื้อง จิตสว่าง ไสวแล ย่างย้ายขยายธรรม
๏ พันสองร้อยห้าสิบถ้วน เผยแพร่ธรรมพุทธองค์ หมายมุ่งกลับคืนคง เวฬุวันเหมือนแม้น
พระสงฆ์ออกแคว้นราชคฤห์ พร้อมนาดั่งได้นัดหมาย
๏ โอวาทปาติโมกข์เน้น ละชั่วกรวดตะกอน ทำดีขจายขจร จิตผ่องผุดผาดเกื้อ
นำสอนกร่อนเนื้อจบทั่ว สกนธ์แฮ ก่อให้โลกงาม
๏ ดอกบัวเทียนธูปน้อม อรหังสัมมาขาน นะโมตัสสะสาร อิติปิโสแล้ว
นมัสการแจ่มแจ้วสามจบ กระจ่างนาสืบถ้วนสรรเสริญ
๏ "องค์ใดพระสัมพุทธ"ซร้อง สวากขาโตเพียง "ธรรมะคือคุณากร"เคียง สุปฏิปันโนย้ำ
สืบเสียงเพราะล้ำขานสดับ จิตนาอย่าได้ลืมหลง
๏ "สงฆ์ใดสาวก"ผู้ พาหุงสหัสฯผจง ตาม"ปางเมื่อพระองค์" "อัชชายัง"ประจวบครั้ง
ดำรง ศาสน์นอจิตตั้งเอิบอิ่ม ฤทัยแลแต่เบื้องพุทธกาล
๏ "มาฏะนักขัตตะ"แล้วสามจบทักษิณา รำลึกพระพุทธาพระธรรมพระสงฆ์ไซร้
เวียนขวานิ่งไว้อิติ ปิโสแลเสร็จสิ้นมาฆวาร ๚ ๛
อ.ภาทิพ ศรีสุทธิ์23 ก.พ.48
๏ เดือนแปดแรมค่ำพร้อม
พักฝน
สงฆ์หยุดจรดล
ดุ่มด้าว
เดิมเหตุแห่งผองพล
ตำหนิ มานา
เหยียบย่ำพืชพันธุ์ข้าว
ร่ำร้องเสียหาย
๏ สัตตาหะกฎแจ้ง
เจ็ดวัน
สงฆ์เคลื่อนออกเขตขัณฑ์
ขัดข้อง
เกินกว่ากำหนดพรร-
ษาขาด นาพ่อ
จำอ่านเขียนเพียรซ้อง
สวดซ้ำคำสอน
๏ สบงจีวรพรั่งพร้อม
เข็มบาตร
รัดประคดอนุญาต
กล่าวไว้
หม้อกรองน้ำมิพลาด
สังฆาฎิ อีกนา
อัฏฐบริขารของใช้
ชั่วครั้งพรรษา
๏ชุมชนคอยเคี่ยวน้ำ
หลอมเทียน
ลางแท่งสลักเพียร
เพริศแพร้ว
สมโภชน์แห่รำเวียน
กลองแห่ แหนนา
เงินพุ่มตามเทียนแก้ว
สู่ห้วงวิหาร
๏ ตักบาตรพาผ่องแผ้ว
พบบุญ
จิตแจ่มเกิดการุณย์
เปล่าร้อน
ความดีเพิ่มพูนตุน
เต็มชาติ นี้นอ
หยุดเสพหยุดยอกย้อน
อยู่ด้วยสัตย์ศีล
ครูภาทิพ 20 ก.ค.48
ที่มาwww.st.ac.th/bhatips/klong.htm
คำพังเพย สุภาษิต สำนวนไทย
คำพังเพย คือ ถ้อยอุปมาที่กล่าวกระทบเสียดสี ซึ่งมาจากเหตุการณ์เรื่องราวหรือความเป็นไปในวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อนเป็นสิ่งควรค่าแก่การเรียนรู้ และจดจำเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น
ก - ข - ค - ฆ - ง - จ - ช - ด - ต - ถ - ท - น - บ - ป - ผ - ฝ - พ - ฟ - ม - ย - ร - ล - ว - ส - ห - อ
กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี : สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า ซึ่งอาจจะมีมาจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้เพราะปรากฏมีหลักฐานในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพลตอนหนึ่งด้วยว่า
" คนดีไม่สิ้นอยุธยา " สำนวนนี้เป็นความหมาย ี้อธิบายอยู่ในตัวแล้ว " คนดี " ก็คือคนเก่งหรือผู้มีความสามารถในทางต่อสู้และความคิดอยู่พร้อม อย่าชะล่าใจนักจักเสียที. กลิ้งครกขึ้นภูเขา : สำนวนนี้ มักจะพูดกันว่า
''เข็นครกขึ้นภูเขา '' กันส่วนมาก แต่แท้จริง '' ครก '' ต้องทำกริยา '' กลิ้ง '' ขึ้นไปจึงจะถูก กล่าวคำว่า '' เข็น '' แปลว่า เรื่องที่กำลังจะทำหรือจะทำให้สำเร็จบรรลุผลนั้น ยากลำบากแสนเข็ญมิใช่ของที่ทำได้ง่ายนักเปรียบได้กับ การกลิ้งครกขึ้นภูเขาไปสู่ยอดเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก : แปลว่าหมดหนทางที่จะทำหรือไม่รู้จะทำอย่างไรดีหรือ เป็นการทำให้ตัดสินใจไม่ถูก เพราะจะไม่ทำลงไปก็ไม่ดี ทำลงไปก็ไม่ดีเป็นการยากที่จะตัดสินใจทำลงไปได้ง่าย เหมือนก้างปลาหรือเศษอาหารอะไรอย่างหนึ่ง เข้าไปติดอยู่กลางลำคอกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก.
กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ : สำนวนพังเพยนี้ มาจากการคั่วถั่วกับงาในกระทะเดียวกัน ถั่วเป็นของสุกช้างาสุกเร็วมัวรอไห้ถั่วสุก งาก็ไหม้เสียก่อน สำนวนนี้หมายถึงการทำอะไรสองอย่างพร้อมกันหรือทำอะไรสักอย่างที่ไม่รอบคอบ มัวคิดแต่จะได้ทางหนึ่งต้องเสียทางหนึ่งในความหมายอีกแง่ก็แปลว่าการทำอะไรมัวรีรออยู่ ไม่รีบลงมือทำเสียแต่แรกครั้นพอลงมือจะทำ ก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะคนอื่นเขาเอาไปทำเสียก่อน.
กำขี้ดีกว่ากำตด : ความหมายว่า ได้ในสิ่งที่เห็นหรือเป็นของได้แน่ ดีกว่าคิดอยากได้ในสิ่งหรือของที่ไม่เห็นเหมือนไม่มีตัวตน การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร : สำนวนนี้อธิบายความหมายอยู่ในตัวแล้วแสดงว่า เรื่องกินแล้วเก่งจนไม่มีใครสู้แต่ถ้าเรื่องงานแล้วยอมแพ้ ซึ่งแปลว่าขี้เกียจนั้นเอง.
กินที่ลับไข่ที่แจ้ง : สำนวนนี้ มีความหมายไปในทำนองที่ว่า ทำอะไรไว้ในที่ลับแล้วอดปากไว้ไม่ได้เอามาเปิดเผย ให้คนทั้งหลายรู้เพื่อจะอวดว่าตนกล้าหรือสามารถทำอย่างนั้นได้โดยไม่กลัวใครผิดกฎหมาย อะไรทำนองนั้นหรือไม่กลัว
กินน้ำใต้ศอก : หมายไปในทางที่ว่าถึงจะได้อะไรสักอย่างก็ไม่เทียมหน้าหรือไม่เสมอหน้าเขา เช่นหญิงที่ได้สามี แต่ต้องตกไปอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย ก็เรียกว่า "กินน้ำใต้ศอกเขา" ที่มาของสำนวนนี้ คนในสมัยก่อนอธิบายว่า คนหนึ่งเอาสองมือกอบน้ำมากิน มากิน อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหวเลยเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาข้อศอก ของคนกอบน้ำกินนั้นเพราะรอหิวไม่ทันใจ.
กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา : แปลว่าคนที่เนรคุณคนเปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิด ีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อนคนโบราณเอาลักษณะของแมวที่ไม่ดี คือกินแล้วไม่ขี้ให้เป็นที่กลับขึ้นไปขี้บนหลังคาให้เป็นที่สกปรกเลอะเทอะเพราะคนสมัยก่อนต้องการให้หลังคาสะอาดเพื่อรองน้ำฝนไว้กินจึงเอาแมวชั่วนี้ มาเปรียบเทียบกับคนชั่วที่ไม่รู้จักบุญคุณคน.
กินปูนร้อนท้อง : สำนวนนี้มาจากตุ๊กแก ว่ากันว่า ตุ๊กแกที่กินปูน (ปูนแดงที่กินกับหมากพลู )มักจะทำอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องแกร็กๆ เหมือนอาการร้อนท้องหรือปวดท้องจึงนำเอามาเปรียบกันคนที่ทำพิรุธหรือทำอะไรไว้ไม่อยากให้ใครรู้แต่เผอิญมีใครไปแคะได้ หรือเรียบเคียงเข้าหน่อยทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้เจตนาเจาะจงแต่ตัวเอง ก็แสดงอาการเป็นเชิงเดือดร้อนออกมาให้เขารู้ สำนวนนี้มักพูดกันว่า " ตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง "
. กินน้ำเห็นปลิง : แปลว่า สิ่งใดที่ต้องการ ถ้าสิ่งนั้นมีสิ่งที่น่ารังเกียจ หรือไม่บริสุทธิ์ก็ทำให้รังเกียจหรือตะขิดตะขวงใจไม่อยากได้เปรียบดังที่ว่าปลิงเป็นสัตว์น่ารังเกียจอยู่ในน้ำ เวลากินน้ำมองเห็นปลิงเข้าก็รู้สึกรังเกียจขยะแขยงไม่อยากกินสำนวนนี้มีนักเขียนเอามาเขียนเอามาตั้งเป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง.
เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน : " เบี้ย " ในสมัยก่อนเป็นพวกหอยชนิดหนึ่งเรียกว่า " เบี้ยจั่น " ใช้เป็นเงินแลกเปลี่ยนซื้อของได้ แต่มีราคาต่ำแปลตามตัวอักษรนี้ก็ว่าเก็บเบี้ยที่ตกอยู่ตามใต้ถุนร้าน หรือแผงลอยวางของขายซึ่งตกหล่นอยู่บ้าง เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเบี้ยกับของโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเบี้ยมีราคาต่ำ สำนวนนี้จึงแปลความหมายว่าถึงจะทำงานเล็กใหญ่ หรือค้าขายอะไรก็ตาม ก็พยายามค่อย ๆ ทำให้มีผลได้แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้หลุดลอยไปเสีย.
เกลียดขี้ขี้ตาม เกลียดความความถึง : สำนวนนี้ ไม่ทราบที่มาหรือมูลของสำนวนแน่ชัดแต่ก็เป็นที่รู้ ความหมายกันทั่วไปว่า หมายถึง การที่คนเราเกลียดสิ่งไหนแล้วมักจะได้สิ่งนั้นเปรียบได้กับชายที่เกลียด ผู้หญิงขี้บ่นจู้จี่แต่มักลงท้ายกลับไปได้ภรรยาขี้บ่นจู้จี่เข้าจนได.้
เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง : สำนวนนี้มีความหมายแตกต่างกับประโยค " เกลียดขี้ขี้ตาม " เพราะแปลความหมายไปในทางที่ว่าเกลียดตัวเขาแต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา หรือของ ๆ เขา ตามความหมายเปรียบเทียบของสำนวนที่ว่าเช่นเกลียดปลาไหลในรูปร่างของมัน แต่เมื่อเอามาแกงมีรสหอมก็ทำให้อดอยากกินแกงไม่ได้ถึงแม้จะไม่กินเนื้อปลาไหลเลยก็ตาม. แกว่งเท้าหาเสี้ยน : หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรเป็นการสอดแทรกเข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่นเข้า จนกระทั้งกลาย เป็นเรื่องกับตัวเองจนได้เสมอ เรียกว่าชอบสอดเข้าไปเกี่ยวสำนวนในปัจจุบันเปลี่ยนไปใช้เป็นว่า " แกว่งปากหาเท้า " เสียแล้ว เพื่อให้ความชัดเจนขึ้น.
ไก่กินข้าวเปลือก : สำนวนคำพังเพยประโยคนี้ ถ้าพูดให้เต็มความก็ต้องพูดว่า " ตราบใดที่ไก่ยังกินข้าวเปลือกอยู่ ตราบนั้นคนเราก็ยังอดกินสินบนไม่ได " เข้าใจว่าเป็นคำพังเพยของจีน ๆ เอามาใช้เป็นภาษาของเขาก่อน แล้วไทยเราเอามาแปลเป็นภาษาไทยใช้กันอยู่มากในสมัยก่อน ๆ.
ใกล้เกลือกินด่าง : หมายความว่า สิ่งที่หาได้ง่ายหรืออยู่ใกล้ไม่เอา กลับไปเอาสิ่งที่อยู่ไกลหรือหายากเปรียบได้ว่าเกลือหาง่ายกว่าด่าง ความหมายอีกทางหนึ่งหมายถึงว่าอยู่ใกล้กับของดีแท้ ๆ แต่ไม่ได้รับเพราะกลับไปคว้าเอาของที่ดี หรือมีราคาด้อยกว่าคือด่างซึ่งมีรสกร่อยหรืออ่อนเค็มกว่า
ก - ข - ค - ฆ - ง - จ - ช - ด - ต - ถ - ท - น - บ - ป - ผ - ฝ - พ - ฟ - ม - ย - ร - ล - ว - ส - ห - อ
ที่มาwww.oknation.net/blog/print.php?id=75931
ก - ข - ค - ฆ - ง - จ - ช - ด - ต - ถ - ท - น - บ - ป - ผ - ฝ - พ - ฟ - ม - ย - ร - ล - ว - ส - ห - อ
กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี : สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า ซึ่งอาจจะมีมาจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้เพราะปรากฏมีหลักฐานในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพลตอนหนึ่งด้วยว่า
" คนดีไม่สิ้นอยุธยา " สำนวนนี้เป็นความหมาย ี้อธิบายอยู่ในตัวแล้ว " คนดี " ก็คือคนเก่งหรือผู้มีความสามารถในทางต่อสู้และความคิดอยู่พร้อม อย่าชะล่าใจนักจักเสียที. กลิ้งครกขึ้นภูเขา : สำนวนนี้ มักจะพูดกันว่า
''เข็นครกขึ้นภูเขา '' กันส่วนมาก แต่แท้จริง '' ครก '' ต้องทำกริยา '' กลิ้ง '' ขึ้นไปจึงจะถูก กล่าวคำว่า '' เข็น '' แปลว่า เรื่องที่กำลังจะทำหรือจะทำให้สำเร็จบรรลุผลนั้น ยากลำบากแสนเข็ญมิใช่ของที่ทำได้ง่ายนักเปรียบได้กับ การกลิ้งครกขึ้นภูเขาไปสู่ยอดเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก : แปลว่าหมดหนทางที่จะทำหรือไม่รู้จะทำอย่างไรดีหรือ เป็นการทำให้ตัดสินใจไม่ถูก เพราะจะไม่ทำลงไปก็ไม่ดี ทำลงไปก็ไม่ดีเป็นการยากที่จะตัดสินใจทำลงไปได้ง่าย เหมือนก้างปลาหรือเศษอาหารอะไรอย่างหนึ่ง เข้าไปติดอยู่กลางลำคอกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก.
กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ : สำนวนพังเพยนี้ มาจากการคั่วถั่วกับงาในกระทะเดียวกัน ถั่วเป็นของสุกช้างาสุกเร็วมัวรอไห้ถั่วสุก งาก็ไหม้เสียก่อน สำนวนนี้หมายถึงการทำอะไรสองอย่างพร้อมกันหรือทำอะไรสักอย่างที่ไม่รอบคอบ มัวคิดแต่จะได้ทางหนึ่งต้องเสียทางหนึ่งในความหมายอีกแง่ก็แปลว่าการทำอะไรมัวรีรออยู่ ไม่รีบลงมือทำเสียแต่แรกครั้นพอลงมือจะทำ ก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะคนอื่นเขาเอาไปทำเสียก่อน.
กำขี้ดีกว่ากำตด : ความหมายว่า ได้ในสิ่งที่เห็นหรือเป็นของได้แน่ ดีกว่าคิดอยากได้ในสิ่งหรือของที่ไม่เห็นเหมือนไม่มีตัวตน การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร : สำนวนนี้อธิบายความหมายอยู่ในตัวแล้วแสดงว่า เรื่องกินแล้วเก่งจนไม่มีใครสู้แต่ถ้าเรื่องงานแล้วยอมแพ้ ซึ่งแปลว่าขี้เกียจนั้นเอง.
กินที่ลับไข่ที่แจ้ง : สำนวนนี้ มีความหมายไปในทำนองที่ว่า ทำอะไรไว้ในที่ลับแล้วอดปากไว้ไม่ได้เอามาเปิดเผย ให้คนทั้งหลายรู้เพื่อจะอวดว่าตนกล้าหรือสามารถทำอย่างนั้นได้โดยไม่กลัวใครผิดกฎหมาย อะไรทำนองนั้นหรือไม่กลัว
กินน้ำใต้ศอก : หมายไปในทางที่ว่าถึงจะได้อะไรสักอย่างก็ไม่เทียมหน้าหรือไม่เสมอหน้าเขา เช่นหญิงที่ได้สามี แต่ต้องตกไปอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย ก็เรียกว่า "กินน้ำใต้ศอกเขา" ที่มาของสำนวนนี้ คนในสมัยก่อนอธิบายว่า คนหนึ่งเอาสองมือกอบน้ำมากิน มากิน อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหวเลยเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาข้อศอก ของคนกอบน้ำกินนั้นเพราะรอหิวไม่ทันใจ.
กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา : แปลว่าคนที่เนรคุณคนเปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิด ีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อนคนโบราณเอาลักษณะของแมวที่ไม่ดี คือกินแล้วไม่ขี้ให้เป็นที่กลับขึ้นไปขี้บนหลังคาให้เป็นที่สกปรกเลอะเทอะเพราะคนสมัยก่อนต้องการให้หลังคาสะอาดเพื่อรองน้ำฝนไว้กินจึงเอาแมวชั่วนี้ มาเปรียบเทียบกับคนชั่วที่ไม่รู้จักบุญคุณคน.
กินปูนร้อนท้อง : สำนวนนี้มาจากตุ๊กแก ว่ากันว่า ตุ๊กแกที่กินปูน (ปูนแดงที่กินกับหมากพลู )มักจะทำอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องแกร็กๆ เหมือนอาการร้อนท้องหรือปวดท้องจึงนำเอามาเปรียบกันคนที่ทำพิรุธหรือทำอะไรไว้ไม่อยากให้ใครรู้แต่เผอิญมีใครไปแคะได้ หรือเรียบเคียงเข้าหน่อยทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้เจตนาเจาะจงแต่ตัวเอง ก็แสดงอาการเป็นเชิงเดือดร้อนออกมาให้เขารู้ สำนวนนี้มักพูดกันว่า " ตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง "
. กินน้ำเห็นปลิง : แปลว่า สิ่งใดที่ต้องการ ถ้าสิ่งนั้นมีสิ่งที่น่ารังเกียจ หรือไม่บริสุทธิ์ก็ทำให้รังเกียจหรือตะขิดตะขวงใจไม่อยากได้เปรียบดังที่ว่าปลิงเป็นสัตว์น่ารังเกียจอยู่ในน้ำ เวลากินน้ำมองเห็นปลิงเข้าก็รู้สึกรังเกียจขยะแขยงไม่อยากกินสำนวนนี้มีนักเขียนเอามาเขียนเอามาตั้งเป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง.
เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน : " เบี้ย " ในสมัยก่อนเป็นพวกหอยชนิดหนึ่งเรียกว่า " เบี้ยจั่น " ใช้เป็นเงินแลกเปลี่ยนซื้อของได้ แต่มีราคาต่ำแปลตามตัวอักษรนี้ก็ว่าเก็บเบี้ยที่ตกอยู่ตามใต้ถุนร้าน หรือแผงลอยวางของขายซึ่งตกหล่นอยู่บ้าง เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเบี้ยกับของโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเบี้ยมีราคาต่ำ สำนวนนี้จึงแปลความหมายว่าถึงจะทำงานเล็กใหญ่ หรือค้าขายอะไรก็ตาม ก็พยายามค่อย ๆ ทำให้มีผลได้แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้หลุดลอยไปเสีย.
เกลียดขี้ขี้ตาม เกลียดความความถึง : สำนวนนี้ ไม่ทราบที่มาหรือมูลของสำนวนแน่ชัดแต่ก็เป็นที่รู้ ความหมายกันทั่วไปว่า หมายถึง การที่คนเราเกลียดสิ่งไหนแล้วมักจะได้สิ่งนั้นเปรียบได้กับชายที่เกลียด ผู้หญิงขี้บ่นจู้จี่แต่มักลงท้ายกลับไปได้ภรรยาขี้บ่นจู้จี่เข้าจนได.้
เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง : สำนวนนี้มีความหมายแตกต่างกับประโยค " เกลียดขี้ขี้ตาม " เพราะแปลความหมายไปในทางที่ว่าเกลียดตัวเขาแต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา หรือของ ๆ เขา ตามความหมายเปรียบเทียบของสำนวนที่ว่าเช่นเกลียดปลาไหลในรูปร่างของมัน แต่เมื่อเอามาแกงมีรสหอมก็ทำให้อดอยากกินแกงไม่ได้ถึงแม้จะไม่กินเนื้อปลาไหลเลยก็ตาม. แกว่งเท้าหาเสี้ยน : หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรเป็นการสอดแทรกเข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่นเข้า จนกระทั้งกลาย เป็นเรื่องกับตัวเองจนได้เสมอ เรียกว่าชอบสอดเข้าไปเกี่ยวสำนวนในปัจจุบันเปลี่ยนไปใช้เป็นว่า " แกว่งปากหาเท้า " เสียแล้ว เพื่อให้ความชัดเจนขึ้น.
ไก่กินข้าวเปลือก : สำนวนคำพังเพยประโยคนี้ ถ้าพูดให้เต็มความก็ต้องพูดว่า " ตราบใดที่ไก่ยังกินข้าวเปลือกอยู่ ตราบนั้นคนเราก็ยังอดกินสินบนไม่ได " เข้าใจว่าเป็นคำพังเพยของจีน ๆ เอามาใช้เป็นภาษาของเขาก่อน แล้วไทยเราเอามาแปลเป็นภาษาไทยใช้กันอยู่มากในสมัยก่อน ๆ.
ใกล้เกลือกินด่าง : หมายความว่า สิ่งที่หาได้ง่ายหรืออยู่ใกล้ไม่เอา กลับไปเอาสิ่งที่อยู่ไกลหรือหายากเปรียบได้ว่าเกลือหาง่ายกว่าด่าง ความหมายอีกทางหนึ่งหมายถึงว่าอยู่ใกล้กับของดีแท้ ๆ แต่ไม่ได้รับเพราะกลับไปคว้าเอาของที่ดี หรือมีราคาด้อยกว่าคือด่างซึ่งมีรสกร่อยหรืออ่อนเค็มกว่า
ก - ข - ค - ฆ - ง - จ - ช - ด - ต - ถ - ท - น - บ - ป - ผ - ฝ - พ - ฟ - ม - ย - ร - ล - ว - ส - ห - อ
ที่มาwww.oknation.net/blog/print.php?id=75931
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความยุติธรรม
มีครอบครัวหนึ่งพ่อชื่อทอง แม่ชื่อเข็ม นายทองมีลูกสาวสวยอยู่ 2 คนคนพี่ชื่อกอง คนเล็กชื่อผอง ปกตินายทองเป็นคนที่หวงลูกสาวมาก สาวกองและสาวผองมักจะมีหนุ่มมาจีบสับเปลี่ยนวันกันประจำ คือถ้าวันนี้เป็นของสาวกองพรุ่งนี้ก็เป็นวันของสาวผอง พวกหนุ่มๆในหมู่บ้านนั้นก็เข้าใจ
แฟนของสาวกองนั้นดีดพิณ แฟนของสาวผองเป่าแคน แต่คืนวันนั้นได้ยินทั้งเสียงแคนและเสียงพิณ พี่น้องเลยเกี่ยงกันเข้านอน นายทองจึงโมโหไล่ลูกสาวเข้านอนทั้งสองคนหนุ่มๆก็ไม่พอใจ พอตกดึกหนุ่มหนึ่งเลยแอบขึ้นไปบนบ้านแล้วขี้ใส่ไว้บนเขียงในครัว
พี่น้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าต่างก็เกี่ยงกันทำความสะอาด ต่างก็โทษว่าแฟนของอีกฝ่ายเป็นคนขี้ พ่อแม่ได้ยินจึงลุกออกมาดู นายทองเดินไปเอามีดโต้มาแล้วฟันฉับลงไปตรงกลางขี้พร้อมกับพูดว่า
“อีกองเมี่ยนส่วนนี้ อีผองเมี่ยนส่วนนั้น แม่มึงล้างเขียง กูสิล้าง
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
แฟนของสาวกองนั้นดีดพิณ แฟนของสาวผองเป่าแคน แต่คืนวันนั้นได้ยินทั้งเสียงแคนและเสียงพิณ พี่น้องเลยเกี่ยงกันเข้านอน นายทองจึงโมโหไล่ลูกสาวเข้านอนทั้งสองคนหนุ่มๆก็ไม่พอใจ พอตกดึกหนุ่มหนึ่งเลยแอบขึ้นไปบนบ้านแล้วขี้ใส่ไว้บนเขียงในครัว
พี่น้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าต่างก็เกี่ยงกันทำความสะอาด ต่างก็โทษว่าแฟนของอีกฝ่ายเป็นคนขี้ พ่อแม่ได้ยินจึงลุกออกมาดู นายทองเดินไปเอามีดโต้มาแล้วฟันฉับลงไปตรงกลางขี้พร้อมกับพูดว่า
“อีกองเมี่ยนส่วนนี้ อีผองเมี่ยนส่วนนั้น แม่มึงล้างเขียง กูสิล้าง
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
นิทานกบกับหนู
กบกับหนู
หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย
กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ
เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรงก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน
ข้อคิที่ได้
คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย
กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ
เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรงก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน
ข้อคิที่ได้
คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
โคนันทิวิศาล
.....สมัยพระเจ้าคันธาระครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองตักกสิลา มีพราหมณ์ผู้หนึ่งได้เลี้ยงลูกโคไว้ด้วยความทะนุถนอมเอาใจใส่ดูแลราวกับมันเป็นลูกตนเลยทีเดียวพราหมณ์เรียกลูกโคนั้นว่า นันทิวิสาล
โคนันทิวิสาลเติบโตเป็นโคหนุ่ม มีรูปร่างล่ำสันแข็งแรงมีความเคารพ และเชื่อฟังพราหมณ์ชรา แม้ว่าโคนันทิวิสาลจะคอย ช่วยเหลือการงานอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ก็ยังคิดหาโอกาสตอบแทนคุณของพราหมณ์ให้มากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
พราหมณ์ชราจึงเดินทางไปยังคฤหาสน์ของท่านเศรษฐีในทันที เพื่อมาขอท้าพนันกับท่านเศรษฐี ตามที่โคนันทิวิสาลบอก
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งเหลืออีกเพียงคืนเดียว ก็จะถึงกำหนดวันประลองกำลัง
พราหมณ์ชรารู้สึกกังวล จนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ จนกระทั่งใกล้รุ่ง จึงเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เช้าวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ชราและโคนันทิวิสาลจึงเดินทางเข้าไปในเมืองทันที
ชาวเมืองบางคนยิ้มเยาะกล่าวคำกระทบกระเทียบต่างๆ นานา จนกำลังใจของ พราหมณ์ชราตกลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีแรงเดิน
ทันทีที่เห็นขบวนเกวียน หนึ่งร้อยเล่มผูกติดกันอยู่เบื้องหน้า พราหมณ์ชราแทบจะหมดแรงไปเลยทีเดียว
ความคิดทั้งหลาย อื้ออึงอยู่ในสมองพราหมณ์ชรา จนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว
โคนันทิวิสาลได้ยินพราหมณ์เรียกตนด้วยถ้อยคำที่บาดหูต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากมายเช่นนี้ จึงหมดกำลังใจที่จะออกแรงลากเกวียน ได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลพรากอยู่ตรงนั้น
เย็นวันนั้น พราหมณ์ชราได้แต่นอนอยู่แต่ในบ้านเพราะแพ้พนัน เสียดายทั้งเงินและอับอายขายหน้า
พราหมณ์ชราจึงเข้าไปในเมือง ท้าประลองกับท่านเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง
วันเวลาผ่านไปจนถึงวันประลอง กำลังครั้งสำคัญ
โคนันทิวิสาลได้ฟังคำพูดที่ไพเราะรื่นหูเช่นนั้นก็เกิดกำลังใจมีเรี่ยวแรงเต็มที่จึงค่อยๆ ออกแรงลากเกวียนทั้งหนึ่งร้อยเล่มนั้น
ด้วยพละกำลังอันมากมายมหาศาลของโคนันทิวิสาลเกวียนค่อยๆ เคลื่อน ออกไปเรื่อยๆ ทีละเล่มๆ
บรรดาชาวเมืองทั้งหลายที่เฝ้าดูอยู่ เห็นพราหมณ์ชรายิ้มแย้มแจ่มใสท่าทางมั่นใจ จึงพากันส่งเสียงเอาใจช่วย
ในที่สุดเกวียนทั้งหนึ่งร้อยเล่มก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ท่ามกลาง เสียงโห่ร้องยินดี
ชาวบ้านชาวเมืองต่างเข้ามารุมล้อมแสดงความยินดี ให้เงินทองของกินของใช้แก่พราหมณ์ชราและโคนันทิวิสาลเป็นรางวัลในครั้งนี้ด้วย จากคำพูดที่ไพเราะและจริงใจของพราหมณ์ชรา ทำให้โคนันทิวิสาลสามารถทำงานครั้งสำคัญนี้ ได้สำเร็จ สามารถตอบแทนคุณให้พราหมณ์ชรามีความสุขสบายตลอดมา
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
โคนันทิวิสาลเติบโตเป็นโคหนุ่ม มีรูปร่างล่ำสันแข็งแรงมีความเคารพ และเชื่อฟังพราหมณ์ชรา แม้ว่าโคนันทิวิสาลจะคอย ช่วยเหลือการงานอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ก็ยังคิดหาโอกาสตอบแทนคุณของพราหมณ์ให้มากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
พราหมณ์ชราจึงเดินทางไปยังคฤหาสน์ของท่านเศรษฐีในทันที เพื่อมาขอท้าพนันกับท่านเศรษฐี ตามที่โคนันทิวิสาลบอก
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งเหลืออีกเพียงคืนเดียว ก็จะถึงกำหนดวันประลองกำลัง
พราหมณ์ชรารู้สึกกังวล จนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ จนกระทั่งใกล้รุ่ง จึงเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เช้าวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ชราและโคนันทิวิสาลจึงเดินทางเข้าไปในเมืองทันที
ชาวเมืองบางคนยิ้มเยาะกล่าวคำกระทบกระเทียบต่างๆ นานา จนกำลังใจของ พราหมณ์ชราตกลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีแรงเดิน
ทันทีที่เห็นขบวนเกวียน หนึ่งร้อยเล่มผูกติดกันอยู่เบื้องหน้า พราหมณ์ชราแทบจะหมดแรงไปเลยทีเดียว
ความคิดทั้งหลาย อื้ออึงอยู่ในสมองพราหมณ์ชรา จนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว
โคนันทิวิสาลได้ยินพราหมณ์เรียกตนด้วยถ้อยคำที่บาดหูต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากมายเช่นนี้ จึงหมดกำลังใจที่จะออกแรงลากเกวียน ได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลพรากอยู่ตรงนั้น
เย็นวันนั้น พราหมณ์ชราได้แต่นอนอยู่แต่ในบ้านเพราะแพ้พนัน เสียดายทั้งเงินและอับอายขายหน้า
พราหมณ์ชราจึงเข้าไปในเมือง ท้าประลองกับท่านเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง
วันเวลาผ่านไปจนถึงวันประลอง กำลังครั้งสำคัญ
โคนันทิวิสาลได้ฟังคำพูดที่ไพเราะรื่นหูเช่นนั้นก็เกิดกำลังใจมีเรี่ยวแรงเต็มที่จึงค่อยๆ ออกแรงลากเกวียนทั้งหนึ่งร้อยเล่มนั้น
ด้วยพละกำลังอันมากมายมหาศาลของโคนันทิวิสาลเกวียนค่อยๆ เคลื่อน ออกไปเรื่อยๆ ทีละเล่มๆ
บรรดาชาวเมืองทั้งหลายที่เฝ้าดูอยู่ เห็นพราหมณ์ชรายิ้มแย้มแจ่มใสท่าทางมั่นใจ จึงพากันส่งเสียงเอาใจช่วย
ในที่สุดเกวียนทั้งหนึ่งร้อยเล่มก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ท่ามกลาง เสียงโห่ร้องยินดี
ชาวบ้านชาวเมืองต่างเข้ามารุมล้อมแสดงความยินดี ให้เงินทองของกินของใช้แก่พราหมณ์ชราและโคนันทิวิสาลเป็นรางวัลในครั้งนี้ด้วย จากคำพูดที่ไพเราะและจริงใจของพราหมณ์ชรา ทำให้โคนันทิวิสาลสามารถทำงานครั้งสำคัญนี้ ได้สำเร็จ สามารถตอบแทนคุณให้พราหมณ์ชรามีความสุขสบายตลอดมา
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
นิทานกระตายตื่นตูม
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดพระเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภเดียรถีย์ (นักบวชนอกศาสนา) ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีดงตาลกับต้นมะตูมอยู่ติดทะเลด้านทิศตะวันตกของป่านั้น ณ ที่ดงตาลนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ต้นมะตูมต้นหนึ่ง วันหนึ่ง วันหนึ่งเจ้ากระต่ายออกเที่ยวหากินอิ่มแล้ว กลับมานอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลแห้ง กำลังนอนคิดเพลิน ๆ อยู่ว่า "ถ้าหากแผ่นดินนี้ถล่ม เราจะไปอยู่ที่ไหนหนอ" ทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกใบตาลเสียงดังลั่นเจ้ากระต่ายนึกว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม จึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า "แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ " พร้อมกับกระโดวิ่งหนีไปสุดชีวิตโดยไม่เหลียวหลังมาดูเลย
กระต่ายตัวอื่น ๆ เห็นมันวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิตจึงร้องถามมันว่า "เจ้าวิ่งหนีอะไรมา" มันทั้งวิ่งทั้งร้องตอบว่า "รีบหนีเร็ว แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ" กระต่ายจำนวนนับพันต่างก็รีบวิ่งหนีตายตามมันไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดเมื่อทราบข่าวต่างก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป ฝูงสัตว์วิ่งหนีตามกันมาเป็นทิวแถว ราชสีห์เห็นสัตว์น้อยใหญ่วิ่งกันมาฝุ่นฟุ้งกระจุยจึงร้องถามไปว่า "พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา" ได้รับคำตอบว่า "เจ้านาย แผ่นดินที่โน้นถล่มแล้ว พวกเราวิ่งหนีตาย" แล้วก็วิ่งไปต่อ บ่ายหน้าไปทางหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว ราชสีห์ด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเกรงว่าจะตกเหวตายเสียหมด จึงวิ่งไปดักข้างหน้าพร้อมกับคำรามเสียงดังลั่นขึ้น ๓ ครั้ง สัตว์ทั้งหลายพอได้ยินเสียราชสีห์ก็พากันตกใจกลัวตื่นจากภวังค์หยุดวิ่ง
ราชสีห์จึงถามว่า "ใครเห็นแผ่นดินถล่มบ้าง" พวกสัตว์บอกว่า "ช้างเห็นขอรับ" ช้างบอกว่า "เสือเห็น" เสือบอกว่า "แรดเห็น" แรดบอกว่า "ควายเห็น" ควายบอกว่า "หมูป่าเห็น" หมูป่าบอกว่า "กวางเห็น" กวางบอกว่า "กระต่ายเห็น" พวกกระต่าย จึงชี้บอกว่า "กระต่ายตัวนี้เห็นแผ่นดินถล่มครับ..นาย" ราชสีห์จึงถามกระต่ายตัวนั้นว่าเป็นจริงหรือเปล่า กระต่ายตอว่า "ข้าพเจ้าเห็นจริง ๆ นายท่าน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งหนีตายมานี่ละ.. นายท่าน"
ราชสีห์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงบอกให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ที่ตรงนั้นส่วนตนและเจ้ากระต่ายได้เดินกลับไปดูสถานที่ต้นเหตุ ตรวจดูเห็นผมมะตูมสุกลูกหนึ่งวางอยู่ก็เข้าใจทันที จึงกลับมาบอกสัตว์ทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายเลิกกลัวได้แล้ว เสียงแผ่นดินถล่ม เป็นเสียงผลมะตูมสุกหล่นกระทบใบตาลแห่งดอก เลิกกลัวได้แล้ว" สัตว์ทั้งหลายอาศัยราชสีห์จึงเอาชีวิตรอดมาได้
พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า
"พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องราวแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากันตื่นตระหนก พวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนคนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์ เพียบพร้อมด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบ และเว้นไกลจากการ ทำชั่ว คนเหล่านั้นหาเชื่อคนอื่นง่ายไม่"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ก่อนแต่จะเชื่ออะไรใครควรพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงเสียก่อนเพื่อความถูกต้องจะไม่ได้เป็นอย่างกระ ต่าย ตื่นตูม
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีดงตาลกับต้นมะตูมอยู่ติดทะเลด้านทิศตะวันตกของป่านั้น ณ ที่ดงตาลนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ต้นมะตูมต้นหนึ่ง วันหนึ่ง วันหนึ่งเจ้ากระต่ายออกเที่ยวหากินอิ่มแล้ว กลับมานอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลแห้ง กำลังนอนคิดเพลิน ๆ อยู่ว่า "ถ้าหากแผ่นดินนี้ถล่ม เราจะไปอยู่ที่ไหนหนอ" ทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกใบตาลเสียงดังลั่นเจ้ากระต่ายนึกว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม จึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า "แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ " พร้อมกับกระโดวิ่งหนีไปสุดชีวิตโดยไม่เหลียวหลังมาดูเลย
กระต่ายตัวอื่น ๆ เห็นมันวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิตจึงร้องถามมันว่า "เจ้าวิ่งหนีอะไรมา" มันทั้งวิ่งทั้งร้องตอบว่า "รีบหนีเร็ว แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ" กระต่ายจำนวนนับพันต่างก็รีบวิ่งหนีตายตามมันไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดเมื่อทราบข่าวต่างก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป ฝูงสัตว์วิ่งหนีตามกันมาเป็นทิวแถว ราชสีห์เห็นสัตว์น้อยใหญ่วิ่งกันมาฝุ่นฟุ้งกระจุยจึงร้องถามไปว่า "พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา" ได้รับคำตอบว่า "เจ้านาย แผ่นดินที่โน้นถล่มแล้ว พวกเราวิ่งหนีตาย" แล้วก็วิ่งไปต่อ บ่ายหน้าไปทางหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว ราชสีห์ด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเกรงว่าจะตกเหวตายเสียหมด จึงวิ่งไปดักข้างหน้าพร้อมกับคำรามเสียงดังลั่นขึ้น ๓ ครั้ง สัตว์ทั้งหลายพอได้ยินเสียราชสีห์ก็พากันตกใจกลัวตื่นจากภวังค์หยุดวิ่ง
ราชสีห์จึงถามว่า "ใครเห็นแผ่นดินถล่มบ้าง" พวกสัตว์บอกว่า "ช้างเห็นขอรับ" ช้างบอกว่า "เสือเห็น" เสือบอกว่า "แรดเห็น" แรดบอกว่า "ควายเห็น" ควายบอกว่า "หมูป่าเห็น" หมูป่าบอกว่า "กวางเห็น" กวางบอกว่า "กระต่ายเห็น" พวกกระต่าย จึงชี้บอกว่า "กระต่ายตัวนี้เห็นแผ่นดินถล่มครับ..นาย" ราชสีห์จึงถามกระต่ายตัวนั้นว่าเป็นจริงหรือเปล่า กระต่ายตอว่า "ข้าพเจ้าเห็นจริง ๆ นายท่าน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งหนีตายมานี่ละ.. นายท่าน"
ราชสีห์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงบอกให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ที่ตรงนั้นส่วนตนและเจ้ากระต่ายได้เดินกลับไปดูสถานที่ต้นเหตุ ตรวจดูเห็นผมมะตูมสุกลูกหนึ่งวางอยู่ก็เข้าใจทันที จึงกลับมาบอกสัตว์ทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายเลิกกลัวได้แล้ว เสียงแผ่นดินถล่ม เป็นเสียงผลมะตูมสุกหล่นกระทบใบตาลแห่งดอก เลิกกลัวได้แล้ว" สัตว์ทั้งหลายอาศัยราชสีห์จึงเอาชีวิตรอดมาได้
พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า
"พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องราวแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากันตื่นตระหนก พวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนคนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์ เพียบพร้อมด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบ และเว้นไกลจากการ ทำชั่ว คนเหล่านั้นหาเชื่อคนอื่นง่ายไม่"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ก่อนแต่จะเชื่ออะไรใครควรพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงเสียก่อนเพื่อความถูกต้องจะไม่ได้เป็นอย่างกระ ต่าย ตื่นตูม
www.kalyanamitra.org/chadok/mixchadok/mixchadok.html -
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)